ศ.ดร.ไชยา ยิ้มวิไล ดังที่ได้กล่าวไว้เมื่อคราวที่แล้วที่ “ความตั้งใจจริง” ของทั้ง “กระบวนการ” เริ่มตั้งแต่ “ผู้นำ” ไปจนถึง บรรดา “ผู้ตาม” ที่นับตั้งแต่ “คณะรัฐมนตรี” จนถึง “ข้าราชการระดับสูง-กลาง-ล่าง” แต่ที่สำคัญที่สุดสำหรับ “สังคมยุคใหม่” ที่ “ประชาชน” ต้องมีส่วนร่วมอย่างมากกับ “การปฏิรูป” ประเทศอย่างจริงจังและมุ่งมั่น คำถามสำคัญก็คือว่า “ประชาชนเข้าใจหรือไม่ว่า เมื่อปฏิรูปไปแล้ว เขาจะได้อะไร” ในกรณีนี้ต้องเรียนว่า “ต้องใช้เวลาทั้งลงพื้นที่และอธิบายให้ประชาชนได้ทั้งสัมผัสและเห็นในเชิงรูปธรรมอย่างชัดเจน” ซึ่งแน่นอนต้องใช้เวลาอย่างมาก พร้อมทั้งต้องระดม “กลุ่มคน” อย่างมากในการเดินสายอธิบาย ปัญหาสำคัญขอย้ำว่า “ปัญหาความเชื่อมโยงทั้งด้านความยากจนและด้านการศึกษา” ที่จำต้องประสานกันให้ได้เพื่อก่อให้เกิดความเข้าใจอย่างถ่องแท้ กล่าวคือ ถ้าบุคคลใดไม่มีเงินทองที่จะไขว่คว้าหาความรู้ มัวแต่ทำงานก็จะมุ่งแต่หาเงิน แต่ถ้าบุคคลใดที่มีโอกาสที่จะหาเงินพร้อมกันกับสามารถเรียนหนังสือได้ แล้วค่อยๆ ไต่ระดับหาความรู้ไปเรื่อยๆ จนความรู้ค่อยๆ เบิกบานและ “บรรเจิด” ในที่สุด “ความแตกฉาน” ก็จะเกิด เมื่อนั้น “การบรรลุงถึงความรู้ที่จะแตกฉานและต่อยอดจนเกิดความรู้ใหม่เองจะเกิดขึ้น!” ฟังแล้วอาจงง แต่ถ้าท่านได้ใฝ่รู้แล้วศึกษาไปเรื่อยๆ “ความรู้เชิงบรรเจิดจะแตกฉานเอง!” ถามว่า ถ้ามนุษย์เรามีปัญญาที่จะมีทั้งเงินพอเพียงที่จะพออยู่ได้ พร้อมกันกับการใฝ่หาความรู้ที่มีคุณภาพบ้างไม่มากก็น้อย ก็จะค่อยๆ สามารถเรียนรู้ไปได้เรื่อยๆ เพียงแต่ประเด็นสำคัญคือ “พฤติกรรม” ของแต่ละคนอาจแตกต่างกันในการที่จะ “เรียนรู้” และ “ใฝ่รู้” ว่าจะมากน้อยแตกต่างกันอย่างไร กรณีนี้ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล เพราะฉะนั้น “ปัญหาความยากจน” ที่ทุกคนต้องดิ้นรนหาเช้ากินค่ำจึงเป็นประเด็นสำคัญที่ทำให้ทุกคนไม่สามารถไปเรียนหนังสือได้ ทั้งๆ ที่มี “กฎหมายบังคับว่าเด็กต้องเรียนหนังสือ” แต่ก็ยังมีเด็กจำนวนมากที่ไม่ได้เรียนหนังสือ เนื่องด้วยไม่มีหน่วยราชการใดเอาจริงเอาจังในการตรวจสอบว่า “มีเด็กคนไหนหนีการเรียนหนังสือ” ปัญหาของสังคมไทยคือ “ความยากจน” ที่คนไทยไม่ว่าคนที่อยู่ในเมืองหรืออยู่ในชนบท ชาวไร่ชาวนา ชาวสวน พี่น้องเกษตรกรที่ยากจนไม่มีที่ทำกิน ต้องเช่าที่นามี “หนี้นอกระบบ” จนเรียกว่า “มีหนี้หัวโต!” จนไม่สนใจที่จะส่งลูกหลานเรียนหนังสือ จนต้องเลี้ยงดูแบบตามมีตามเกิด! พอเติบโตขึ้นก็หัดขี่มอเตอร์ไซค์ หรือไม่ก็หัดขับรถแท็กซี่ หรือไม่ก็หัดเสริฟอาหาร แต่ปัจจุบันก็ถูกแรงงานต่างด้าวแย่งงานทำหมด เพราะค่าแรงถูก แต่ที่สำคัญมากไปกว่านั้น “เด็กไทยขาดการอบรมบ่มสั่งสอน” ทั้งด้าน “คุณธรรม-จริยธรรม” และ “ศีลธรรม” จนไม่รู้จักและแยกแยะ “ผิดชอบชั่วดี” จนวิ่งเข้าหายาเสพติด และมีเซ็กส์ก่อนวัยอันควร โดยพ่อแม่อาจไม่สนใจเลย เพราะพ่อแม่ยิ่งยากจน “ตกเย็นกินเหล้า!” จากปัญหาความยากจนที่หมักหมมมาอย่างยาวนาน จนยากแก่การที่จะค่อยๆ รื้อฟื้น แต่ก็สามารถดำเนินการแบบค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งมิใช่เรื่องง่าย แต่ประเด็นปัญหาที่ยากอย่างมาก กล่าวคือ “การเอารัดเอาเปรียบ” และ “การรังแก” ที่ประชาชนยากจนมักถูกเอารัดเอาเปรียบมาโดยตลอด โดยต้องส่งส่วยและถูกรังแก หรือไม่ก็ต้องกู้หนี้ยืมสินเชิง “หนี้นอกระบบ” ที่คิดร้อยละ 20-30 ต่อวันกันเลยทีเดียว จนประชาชนระดับรากหญ้าต้องหาเช้ากินค่ำแบบ “โงหัวไม่ขึ้น” หรือกล่าวอย่างง่ายๆ ว่า “ไม่มีทางที่จะมีเงินทองใดๆเลย!” ปัญหาดังกล่าว จริงๆ แล้วรัฐบาลปัจจุบันตระหนักดีและพยายามแก้ปมปัญหาด้วยการศึกษาและมีมติคณะรัฐมนตรีแทบทุกวันอังคาร ในการอนุมัติงบประมาณให้ทั้งผู้มีรายได้น้อย พี่น้องเกษตรกร ชาวไร่ชาวนา ชาวสวน ธุรกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม (SME) ในงบประมาณเริ่มตั้งแต่ 500 ล้านบาทไปจนถึงหลัก 15,000 ล้านบาทถึง 100,000 ล้านบาท เกือบทุกสัปดาห์ เพื่อ “อุ้มคนยากจน!” แต่ถามว่า “การวัดผล” นั้น ก็ต้องตอบว่า “ตอบยากมากที่ประชาชนจะเข้าใจ” เนื่องด้วย “การกระจายเม็ดเงินสู่ประชาชนนั้นเป็นกรณีที่หน่วยงานภาครัฐต้องดำเนินการ” เพราะฉนั้นเม็ดเงินกว่าจะถึงมือประชาชนคงต้องใช้เวลาพอสมควร ซึ่งกว่าประชาชนจะได้จริงๆ นั้นอาจจะช้าเกินไป เพราะมิใช่ “พออนุมัติปั๊บได้ปุ๊บ!” มันคงมิได้เป็นเช่นนั้น เพราะว่า “มันคือปัญหาของระบบราชการไทย!” กระบวนการขั้นตอนของระบบราชการไทยที่จะอนุมัติเม็ดเงิน ต้องผ่านหลากหลายหน่วยงาน อาจเริ่มตั้งแต่สำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรี สู่กระทรวงการคลัง สู่สำนักงบประมาณ และส่งต่อไปแต่ละกระทรวงฯ ที่จะรับงบประมาณไปตามวัตถุประสงค์ของแต่ละงบฯ ที่รับไป ถามว่า กว่างบประมาณจะไปถึงนั้นมันน่าจะยาวมาก หรืออาจเรียกภาษาชาวบ้านว่า “กว่าถั่วจะสุกงาก็ไหม้!” นั่นอาจเป็นการวิเคราะห์เชิงสมมุติฐาน อย่างไรก็ตาม “การปฏิรูปปัญหาความยากจน” ถ้าไม่เริ่มทำก็คงไม่ได้เริ่มทำ ดังนั้น จึงเป็นการดีที่มีการเริ่มดำเนินการ แล้วค่อยๆ แก้ไขไม่ว่าค่อยๆ รื้อการยึดคลองพื้นที่สาธารณะ และพยายามจัดสร้างที่ให้ชาวบ้านมีที่ทำมาหากิน ประกอบกับการสร้างสถานที่ให้เข้าประกอบการค้าได้อย่างเป็นระเบียบ เพื่อสร้างความเรียบร้อย การสร้างที่อยู่อาศัยให้แก่ผู้ยากไร้ไม่มีที่อยู่อาศัย ซึ่งต่างประเทศก็มีกันที่ผู้คนนอนข้างถนน ไม่ว่าในสหรัฐอเมริกา ในประเทศอังกฤษ เป็นต้น ปัญหาความยากจนเป็น “ปัญหาโลกแตก” แต่เราก็ต้องดำเนินการแก้ไข แต่ต้องปรับปรุง “สวัสดิการสังคม” และ “จำกัดให้มีน้อยที่สุด” ทั้งๆ ที่คงไม่สามารถกำจัดให้หมดลงไปได้ แต่ก็ต้องยอมรับความจริงได้ว่า รัฐบาลปัจจุบันพยายามอย่างดีที่สุดที่ค่อยๆ แก้ไขปัญหาความยากจนให้ได้ดีที่สุด เพียงแต่ว่า “ความเชื่อมโยง” เกี่ยวกับ “ระบบการศึกษา” ที่จริงๆ แล้ว “ระบบการศึกษา” บ้านเราที่ให้โอกาสให้เด็กไทยได้รับการศึกษาฟรี 15 ปี ซึ่งโรงเรียนรัฐบาลนั้น ต้องยอมรับว่าโรงเรียนดีๆ นั้น “เข้ายากมาก!” โรงเรียนวัดเท่านั้นที่จะรับเด็กเข้าเรียนกัน ซึ่งเด็กจะเข้าเรียนกัน แต่แน่นอนก็ยังคงมีเด็กเข้าเรียนชั้นประถมศึกษา แต่พอระดับมัธยมศึกษาอาจจะไม่เข้าเรียนกัน เหตุผลอ้างว่าต้องช่วยบุพการีทำมาหากินเพราะขาดทุนทรัพย์ จริงเท็จแค่ไหนไม่ทราบได้! “ระบบการศึกษา” เชื่อมโยงกับ “การสร้างทรัพยากรมนุษย์” ที่มี “คุณภาพแก่สังคม” ซึ่งเป็นประเด็นที่แตกแยกสู่การสร้าง “คุณภาพสังคมขนาดใหญ่ในอนาคต” คงต้องมาว่ากันต่อในคราวต่อๆ ไป!