แม้สถานการณ์วิฤติของการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 จะผ่อนคลายลง ภาพที่บุคลากรทางการแพทย์ได้กลับบ้านเป็นครั้งแรกหลังจากตรากตรำทำงานหนักมากว่า 3 เดือน สร้างความประทับใจให้กับสังคม ตัดมาที่ภาพของสถานการณ์เศรษฐกิจประเทศไทยที่ติดเชื้อโควิดในขณะนี้ กำลังบาดเจ็บสาหัส อยู่ในห้องฉุกเฉิน ที่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ ไม่เกินความคาดหมายเศรษฐกิจไตรมาสแรกของปี 2563 หลังจากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือสศช. เปิดเผยข้อมูลผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ หรือจีดีพี ไตรมาส 1 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จะพบว่าติดลบร้อยละ 1.8 เป็นการติดลบครั้งแรกนับตั้งแต่ไตรมาส 1/2557 คาดว่า ไตรมาส 2 จะติดลบมากกว่าไตรมาส 1 ขณะที่แนวโน้มเศรษฐกิจไทยทั้งปี 2563 คาดว่าจะติดลบร้อยละ 5- 6 จากการปรับตัวลงอย่างรุนแรงของเศรษฐกิจและการค้าโลก การลดลงของจำนวนและรายได้จากภาคท่องเที่ยวต่างชาติ การแพร่ระบาดของโควิด-19 และปัญหาภัยแล้ง คาดว่า ส่งออกทั้งปีจะติดลบร้อยละ 8 สำหรับตัวเลขประมาณการจีดีพีทั้งปีที่คาดว่าจะติดลบร้อยละ 5-6 อยู่ภายใต้สมมติฐานการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 สามารถควบคุมได้ภายในไตรมาส 2 และ ไม่มีการแพร่ระบาดรอบ 2 กิจกรรมทางเศรษฐกิจเริ่มกลับมาขับเคลื่อนได้ในไตรมาส 2 และเริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติได้ในไตรมาส 3 และนักท่องเที่ยวต่างชาติ เริ่มกลับมาท่องเที่ยวไทยในช่วงไตรมาส 3 และ 4 ขณะที่นายวรากรณ์ สามโกเศศ กรรมการคณะที่ปรึกษาด้านผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมในศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กล่าวในการเสวนาหัวข้อ “ทิศทางประเทศไทย : ฝ่าวิกฤตโควิด-19 สู่ชีวิตวิถีใหม่ เพื่อประเมินสถานการณ์พร้อมแนะนำแนวทางการรับมือกับโรคโควิด-19 ในอนาคต” ว่า โรคโควิด-19 จะแพร่ระบาดและอยู่ในไทยไปอีกนาน ส่วนผลกระทบของโรคโควิด-19 จะส่งผลหลายอย่าง เช่น จะมีคนไทยว่างงานถึง 7 ล้านคน พฤติกรรมของมนุษย์เปลี่ยนไป ความขัดแย้งของประเทศมหาอำนาจ โดยเฉพาะสหรัฐฯและจีน นายวรากรณ์ มองว่า ช่วงเวลาที่เร็วที่สุด คือ ปลายปีนี้จะมีการผลิตวัคซีนออกมา แต่กว่าจะใช้ได้จริงคงปีหน้า คาดว่า เร็วที่สุดที่ทุกอย่างในไทยจะกลับมาปกติคือไตรมาสแรกของปีหน้า จึงแนะนำภาครัฐ เร่งกระตุ้นเศรษฐกิจและช่วยประชาชนที่เสียโอกาสก่อนเป็นลำดับแรก โดยเฉพาะประชาชนรายได้น้อย ด้วยการเพิ่มช่องทางสร้างรายได้และทักษะ พร้อมแนะให้ไทยทำสกุลเงินบาทอยู่ในรูปแบบดิจิทัลเหมือนเงินสกุลหยวนของจีน และย้ำว่า รัฐบาลต้องใช้เงินกู้ 1 ล้านล้านบาทอย่างตรงจุด ในส่วนภาคประชาชน นายวรากรณ์ แนะนำว่าตอนนี้ต้องทำ 2 เรื่อง คือต้องปรับตัวให้ทันเทคโนโลยี พัฒนาทักษะในด้านต่าง ๆ อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ปัจจุบันประเทศไทย กำลังอยู่ในช่วงของการผ่อนปรนมาตรการในระยะที่ 2 เราเชื่อว่า จะทำให้เศรษฐกิจเดินหน้าไปได้ คู่ขนานไปกับการควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ไม่ให้กลับมาระบาดรอบ 2 และนำไปสู่การผ่อนปรนในระยะที่ 3 ในช่วงของเดือนมิถุนายนนี้ จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ และลดผลกระทบจากปัญหาการว่างงานลงได้ ทั้งนี้ ทั้งนั้น ในส่วนของภาครัฐจะต้องมีการลงทุนโครงการใหม่ๆเข้ามาช่วยสนับสนุนด้วย ขณะเดียวกัน ไม่ใช่เพียงการระมัดระวังว่าคนไทยจะการ์ดตก ไม่ป้องกันตนเอง หากแต่ฝ่ายรัฐเอง จะต้องมีมาตรการในการดำเนินการกับกลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจ และสถานบริการต่างๆให้ปฏิบัติตามมาตรการอย่างเด็ดขาด และทันท่วงที โดยเป็นไปในเชิงรุก ไม่ปล่อยให้เกิดปัญหาการระบาดระลอกสองที่อาจรุนแรงกว่าระลอกแรก เพื่อที่ไทยจะได้ไปต่อในเฟส 3