เรื่องใด ที่ส่อเค้าว่าจะกลายเป็น "เรื่องร้อน" ที่ตั้งท่า "ถล่ม" เข้าใส่รัฐบาลของ "บิ๊กตู่"พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ก็ต้องหาทางลง "เบรคเกม" ลดความกดดันในทุกทางโดยเร็ว ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็น "กระทบ" กับ "เรื่องใหญ่" คือการบริหารจัดการ ป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่เวลานี้กำลังเริ่มปรับเข้าสู่โหมดของการ "คลายล็อค"เพื่อให้ กิจการและกิจกรรม ต่างๆสามารถเดินหน้าได้ต่อไป
การประชุมครม.ครั้งล่าสุด เมื่อวันที่ 12 พ.ค.63 มีประเด็นที่เป็นเสมือน "เผือกร้อน" รายล้อมอยู่รอบตัวพล.อ.ประยุทธ์ ทั้งปัญหาเรื่องการขาดทุนของการบินไทย ที่รัฐบาลกำลังถูกตั้งคำถามเรื่องการที่จะใช้เงินเข้าไปอุ้มถึง 5หมื่นล้านบาท
รวมถึงประเด็นที่ว่าด้วยการที่จะต่อหรือไม่ต่อ การบังคับใช้พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 หลังจากที่วันนี้ สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด -19ในประเทศไทย จะอยู่ในระดับที่รับมือได้ ตัวเลขผู้ติดเชื้อรายใหม่ ยังคงอยู่ที่ตัวเลขตัวเดียว อย่างต่อเนื่อง
แต่ย่อมไม่ได้หมายความว่า เมื่อรัฐบาลและ ศบค. ตัดสินใจ "คลายล็อค"ไปแล้ว โอกาสที่จะไม่เกิดซ้ำระลอกที่สอง จนกลายเป็นวิกฤติ รอบใหม่ จะไม่เกิดขึ้น !
ในระหว่างที่รัฐบาล กำลังถูก "ฝ่ายการเมือง" โจมตีอย่างหนัก ว่าแนวโน้มการที่จะ คงพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ให้ยาวนาน นั้นจะเป็นไปเพื่อรักษา "อำนาจ" ของรัฐบาลเองด้วยหรือไม่
ก็พลันต้องเผชิญกับประเด็นที่มีความล่อแหลม ทิ่มแทงรัฐบาล เข้ามาอีก เมื่อมีข่าวก่อนหน้านี้ว่ารัฐบาลมอบหมายให้ "หน่วยงานด้านความมั่นคง" ทำแบบสำรวจความคิดเห็นจากประชาชนว่าจะให้คงไว้หรือยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ
เพราะได้กลายเป็น "ช่องโหว่" ตามมาทันทีว่า รัฐบาลกำลังหน่วยงานในมือของตัวเอง โดยเฉพาะต้องไม่ลืมว่า พล.อ.ประยุทธ์ ยังมีสถานะเป็น "สนามไชย 1" คุมทั้งกองทัพและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ถ้าอย่างนั้นผลจากการสำรวจความคิดเห็น จะโปร่งใส ตรงไปตรงมาหรือไม่ ?
เมื่อเสียงโจมตีเริมดังเซ็งแซ่ มากขึ้น ตลอดหลายวันที่ผ่านมา จนล่าสุด พล.อ.ประยุทธ์ ต้องออกมาให้สัมภาษณ์ยืนยันผ่านสื่อมวลชนด้วยตนเองว่า ไม่เคยสั่งให้ฝ่ายความมั่นคง ไปทำโพล แต่อย่างใด
"การจะต่ออายุ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน หรือไม่นั้น เราจะต้องดูมาตรการทางด้านสาธารณสุขเป็นหลัก ซึ่งผมได้ให้ความสำคัญมาตลอด ไม่ว่าจะเป็นจำนวนผู้ติดเชื้อลดลง และน้อยลงจนเหลือ 0 เปอร์เซ็นต์แต่ก็ยังนอนใจไม่ได้ แม้จะเหลือ 0 เปอร์เซ็นต์ก็ตาม เราจำเป็นจะต้องดูถึงความร่วมมือ ที่จะไม่ทำให้ตัวเลขการติดเชื้อเพิ่มมากขึ้น ซึ่งก็ควรจะอยู่ในเกณฑ์ที่รับได้ พอที่จะเดินหน้าไปสู่ระยะที่ 2 และ 3 ในเรื่องการปลดล็อกหรือหามาตรการผ่อนคลาย" (12 พ.ค.63)
สถานการณ์วันนี้ของรัฐบาล กำลังอยู่ในจังหวะที่เรียกได้ว่า "เป็นต่อ" ทั้งจากการบริหารจัดการปัญหาการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด จนเป็นที่ชื่นชมและยอมรับจากนานาประเทศแล้ว ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้อง "การ์ดตก" เปิดช่องให้เกิดปัญหาเข้ามารุมเร้าโดยใช่เหตุ เพราะอย่าลืมว่า "การเมือง" ทั้ง นอกและในสภาฯ กำลังรอโอกาสอยู่เช่นกัน !