สถาพร ศรีสัจจัง
อะไรคือสิ่งที่เรียกว่า “อเมริกัน สไตล์” ?(American style)
แม้คำนี้จะไม่เคยมีใครเคยนิยามไว้อย่างเป็นทางการ แต่ก็อาจจะ “ประมาณ” เอาจาก “รสนิยม” ในการเลือกผู้นำสูงสุดของพวก “American” คือ “ท่านประธานาธิบดี” (The president) จะได้หรือเปล่า?
ก็ควรจะได้อยู่ในระดับหนึ่งนะ ! เพราะเขาว่ากันว่า คนอเมริกันนั้นหวงสิ่งที่เรียกว่า “สิทธิ” เป็นชีวิตจิตใจทีเดียว ดังนั้น บุคคลที่ได้รับเลือกด้วยเสียงข้างมากจากพวกเขา หรือคนที่ตัวแทนของพวกเขา ตัวแทนของแต่ละมลรัฐที่คนในรัฐนั้นๆให้ใช้สิทธิ์ลงคะแนนเลือก “The president” แทน/ที่เรียกว่า “คณะผู้เลือกตั้ง” (Electoral Voter) นั่นไง! เรื่องนี้แม้คนที่ไม่นิยม “อเมริกัน สไตล์” ก็น่าจะรู้กันทั่วแล้วไม่ใช่หรือ (ยุคสื่อสารไร้พรมแดน)
ว่ากันว่ากติกาเรื่อง “สิทธิ์ของ Electoral voter” นี้เอง ที่คือ “ช่อง” ทำให้ “กลุ่มอำนาจเบื้องหลัง” ในสังคมอเมริกา(ไม่ว่าถูกเรียกในนามของอะไร) ใช้พลังอำนาจที่ตนมี “ชี้ขาด” ว่าประธานาธิบดีของอเมริกาจะ “ต้อง” ชื่ออะไร หรือ “คือใคร”
และได้ฟังมาว่า ใครก็ตาม ที่ได้เข้าสู่ตำแหน่งนี้แล้ว คนผู้นั้นจะ “ต้อง” ดำเนินการตาม “ความต้องการหลัก” หรือ “นโยบายหลัก” ของพลังลึกลับเบื้องหลัง กลุ่มนี้ โดยไม่มีทางเลือก! (บรรยายการแบบ “ก็อดฟาเธอร์” หรืออะไรประมาณนั้นหรือเปล่า?)
อุดมการณ์ “เสรีภาพ เสมอภาค และภราดรภาพ” ที่มีมาแต่ต้น และอุดมการณ์ “ไม่ทำสงครามนอกประเทศ”
ที่ประธานาธิบดีคนแรกของ “สหรัฐฯ” แห่งนี้ คือ นายจอร์ช วอชิงตัน ประกาศเป็นหลักการของประเทศไว้ จึงไม่เคยได้รับการปฏิบัติ หลังจาก “กลุ่มนำ” ของประเทศนี้ได้รับผลประโยชน์เต็มๆจากสงครามโลกครั้ง 1 และยิ่ง “อหังการ” หนักยิ่งขึ้น เมื่อกลายเป็นประเทศมหาอำนาจที่ได้พัฒนาพลังงานนิวเคลียร์เป็นประเทศแรกและประเทศเดียวหลังเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่ 2
และยิ่งช่วงหลังการล่มสลายของ “โซเวียตรัสเซีย” คู่ต่อสู้หลักในช่วงสงครามเย็นในปี ค.ศ.1991 อาจกล่าวได้ว่า สหรัฐอเมริกาลืมสิ่งที่จอร์ช วอชิงตัน เคยกล่าวเตือนไว้โดยสิ้นเชิง! เพราะบัดนี้ “อเมริกา” เป็นเพียง “อภิมหาอำนาจ” ในโลกเพียงหนึ่งเดียวเรียบร้อยแล้ว!
พฤติกรรมรุกรานประเทศอื่น ทั้งโดยทางตรงแบบหน้าด้านๆและโดยทางลับ/ในนามของ “ผู้พิทักษ์ประชาธิปไตยของโลก” เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า มีข้อมูลยืนยันได้ว่า ตั้งแต่ช่วงปี 1946-2000 สหรัฐอเมริกามีปฏิบัติการแทรกแทรงการเลือกตั้งในประเทศต่างๆทั่วโลกแล้วไม่น้อยกว่า 81 ครั้ง
สนับสนุนให้เกิดการรัฐประหารและสงครามกลางเมือง(ขายอาวุธ?ในประเทศต่างๆมาแล้วแบบนับไม่ถ้วน!
การรัฐประหารของไทยในยุคจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เมื่อช่วงต้นทศวรรษ 2500 นั่นก็ใช่!
หลังจากนั้นเราจึงได้เห็น “ผู้เชี่ยวชาญ” จากมหามิตรอเมริกาเดินกันเกลื่อนเมือง เพื่อมาช่วยสร้างสิ่งที่เรียกว่า “แผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ” (ไม่มีคำว่า “สังคม”)นั่นไง !
และเพราะเจ้าสิ่งที่เรียกว่า “แผนพัฒนาฯ” ที่มีต้นแบบคือ “มหามิตร” อเมริกามาวางไว้ให้นี่หรือเปล่า? ที่ทำให้เมื่อ 5ทศวรรษผ่านไป ประเทศไทยของเราจึงต้องอยู่ในสภาพทรัพยากรหมดประเทศอย่างที่เห็น สังคมชนบทล้มละลายอย่างที่ประจักษ์ ทะเลพังพินาศ ดินเต็มด้วยสารเคมี ปีนภูเขาและทุ่งนากลายเป็นดงพืชเชิงเดี่ยว อากาศเน่าเหม็นเป็นฝุนพิษ ทุนสามานย์เกลื่อนกลาดฯลฯ
ใครที่พอจะสนใจเรื่อง “ข้อมูลโลก” ในยุค “สื่อสารไร้พรมแดน” อยู่บ้าง ก็ลองนึกภาพย้อนหลังจนถึงปัจจุบันดูเอาก็แล้วกัน ว่าอเมริกาเข้าไป “จุ้น” ทั่วโลกอย่างไรบ้าง?
ตั้งแต่ส่งทหารหลายแสนเข้ามารบในเวียดนามเพื่อนบ้านเรา ทิ้งระเบิดปูพรมจนป่าเขาทั้งประเทศพังพินาศแทบทุกตารางนิ้ว(นาปาล์ม) แต่ท้ายที่สุดก็ถูกนักรบเวียดนามลูกหลานลุงโฮใช้ “หัวใจรักชาติ” ยืนหยัดต่อสู้ขับไล่จนตกทะเล ถอยกลับทวีปอเมริกาแทบไม่ทัน
ตัวเลขยุค โควิด-19 จึงได้มีข้อเปรียบเทียบว่า ครั้งนั้นทหาร(คนหนุ่มอเมริกันที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่) ที่ต้องมาตาย
ในเวียดนาม (โปรดเข้ายูทูบและกดฟังเพลง “Where have on the flower gone” และเพลง “Blowing in the
win” ของ Bob Dilan ( ยิว แต่ไม่แน่ใจว่าเป็นส่วนหนึ่งของชาวขบวน Zionist หรือเปล่า?) รวมทั้งสิ้น (เท่าที่พอมีตัวเลขอ้างอิง)ถึง 58,220 คน ขณะที่จนถึงวันนี้คนในอเมริกาต้องตายเพราะ โควิด-19 ไปแล้วถึง 67,444 คน (นับถึงวันที่ 3 พฤษภาคม 2563)
แต่ฟังว่านายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีของเขาออกมาบอกว่า คนอเมริกาต้องตายอีกเป็นแสน แถมยังบอกอีกว่าทั้งปวงที่คนอเมริกาต้องเจ็บต้องตายนี้ ล้วนเป็นเพราะการกระทำของสาธารณรัฐประชาชนจีนทั้งสิ้น!
ไม่เกี่ยวกับประธานาธิบดีผู้ยิ่งใหญ่แห่งอเมริกาแต่อย่างได!
เอ้า! แล้วอาเฮีย สี จิ้น ผิง ละจะว่าไง?
“อู้ไปเรื่อย” จนถึงจีนไปได้ยังไงก็ไม่รู้ ดังนั้น “อเมริกัน สไตล์” ตอนนี้จึงยังไม่จบจ้ะ!!!!