หลังจากที่ปล่อยเวทีให้กับ "บิ๊กตู่"พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะ "ผู้อำนวยการศบค." นั่งแท่น "ทำแต้ม" โกยคะแนนไปพักใหญ่ ล่าสุด เริ่มมองเห็นสัญญาณ จาก "หมอหนู" อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ออกแอคชั่นเปิดเกมรุก สั่งการไปยัง ข้าราชการระดับสูงของกระทรวงสาธารณสุข เปิดเกมกลับมาเล่นเร็ว เข้าแล้ว ! การบริหารจัดการเพื่อแก้ไขสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ตลอดช่วง2เดือนที่ผ่านมา แน่นอนว่า ความเข้มข้นและน้ำหนัก ได้เทไปยัง กระทรวงสาธารณสุข ในฐานะที่เป็น "กระทรวงหมอ" มีภาระหน้าที่โดยตรงด้วยกันในหลายทาง ทั้งการระดม "ทีมแพทย์" เพื่อรับมือกับโรคอุบัติใหม่ อย่างเชื้อไวรัสโควิด-19 ซึ่งทั่วโลกกำลังเผชิญหน้ากับการถูกโจมตีจากเชื้อไวรัสกว่า200 ประเทศ โดยมีประเทศสหรัฐอเมริกา อยู่ในอาการที่หนักหนาสาหัสมากกว่าใครเพื่อน เนื่องจากมีจำนวนผู้ติดเชื้อมากที่สุดในโลก ทะยานไปกว่า 8 แสนราย จากการรายงานสถานการณ์ทั่วโลกเมื่อวันที่ 22 เม.ย.ที่ผ่านมา แต่ปัญหาใหญ่ที่ทำเอา อนุทิน เจ้ากระทรวงสาธารณสุข ถึงกับกินไม่ได้ นอนไม่หลับ โดนวิพากษ์วิจารณ์ไปทั่วเมือง คือปัญหาจากการที่บุคลากรทางการแพทย์ ทุกระดับ ตามโรงพยาบาลทั่วประเทศ ไม่มี "หน้ากากอนามัย" ใช้อย่างเพียงพอ จนทำให้โรงพยาบาลหลายแห่ง ต้องออกมาขอรับบริจาคบ้าง หรือ รวบรวมเงินกันเองเพื่อหาซื้อหน้ากากอนามัย ไปจนถึงอุปกรณ์การแพทย์ที่จำเป็น ยิ่ง "นักรบเสื้อกาวน์" ตกอยู่ในสภาพที่เดือดร้อน มากเท่าใด "แรงกดดัน" ยิ่งกระแทกกลับไปยัง เจ้ากระทรวง อย่าง อนุทิน มากเท่านั้น ! มิหนำซ้ำยังกลายเป็นว่า ที่ผ่านมา "หมอหนู" ยังถูก "แม่ทัพใหญ่" อย่างพล.อ.ประยุทธ์ ยึดอำนาจคุมงาน คุมทีมแพทย์ไปแทบเบ็ดเสร็จ ล่าสุด เมื่อวันที่ 22เม.ย.ที่ผ่านมา อนุทิน มีแอคชั่นที่ทำให้หลายฝ่ายต้องหันกลับมาจับตาอีกครั้ง ทั้งการส่งข้อความผ่านแอพลิเคชั่นไลน์ ไปยังกลุ่มไลน์ของผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุขในประเด็นที่เกี่ยวกับการนำเสนอโครงการตามงบประมาณตามพระราชกำหนดกู้เงิน 1ล้านล้านบาท โดยกระทรวงสาธารณสุข ได้รับจัดสรรวงเงิน 45,000 ล้านบาท เพื่อใช้ทางการแพทย์และสาธารณสุข ในการสู้ศึกไวรัสโควิด ทั้งนี้อนุทิน ได้ระบุว่า ขอให้ผู้บริหารกระทรวงใช้หลักการพิจารณาโดยคำนึงถึงสภาพเศรษฐกิจที่เสียหายไปและช่วยสร้างรายได้ให้ประชาชนในช่วงนี้ เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของภาวะเศรษฐกิจในประเทศ พยายามซื้อของจากต่างประเทศให้น้อยที่สุด และอุดหนุนกิจการของคนไทยให้มากที่สุด นอกจากนี้ในวันเดียวกัน อนุทินได้ แถลงภายหลังการประชุมร่วมกับคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติ ประชุมได้มีการเสนอพิมพ์เขียวของแผนการทำวัคซีนเพื่อต่อสู้โรคโควิด-19 และมีมติเป็นเอกฉันท์ในการสนับสนุนทำแผนการทดลอง และจัดให้มีการทำความร่วมมือกันในระดับประเทศในการผลิตวัคซีน ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการติดต่อกับสถาบันวิทยาศาสตร์ในไทยและต่างประเทศเพื่อลงนามในบันทึกความเข้าใจ (เอ็มโอยู)? เพื่อพัฒนาวิจัยวัคซีน โดยได้กำชับให้ผู้รับผิดชอบไปศึกษาเกี่ยวกับเอ็มโอยูต่างๆ อย่าให้มีการเอาเปรียบกันระหว่างคู่สัญญา และที่สำคัญ "อย่าให้ไทยได้เข้าถึงวัคซีนช้ากว่าคนอื่น" "โควิด-19 จะเลิกรังควาญผู้คนก็ต่อเมื่อเราได้วัคซีนแล้ว ทุกกรมต้องสุมหัวกันพัฒนาวัคซีนมาให้ได้ ประเทศไทยจะต้องเป็นพระเอกในการพัฒนาวัคซีนให้ได้ โดยในที่ประชุมขอความคืบหน้าในการพัฒนาวัคซีนที่ชัดเจนภายใน 3 เดือน แต่เน้นย้ำว่าภายใน 3 เดือนนี้วัคซีนจะยังไม่เสร็จทันที" อนุทิน ระบุตอนหนึ่ง หมายความว่าการออกแอคชั่นในจังหวะที่เขาเองต้องเร่งทำแต้ม เรียกความเชื่อมั่น โดยเฉพาะในยามนี้เมื่อ "ด้านการแพทย์" คือพระเอกที่ต้อง "ยืนหนึ่ง" ในการสู้กับไวรัสโควิด ตัว "หมอหนู"เอง ก็ต้องยืนในจุดที่ไม่เป็นรองเช่นกัน !