ก่อนหน้านี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เปิดทำเนียบรัฐบาลเชิญบรรดาอาจารย์แพทย์ชั้นนำมาระดมสมองเพื่อหยุดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้รัฐบาลออกมาตรการต่างๆ มาควบคุมการแพร่ระบาดของโรค จนกดตัวเลขผู้ติดเชื้อรายใหม่ให้อยู่ในอัตราต่ำกว่า 50 รายต่อเนื่องมาหลายวัน จนสามารถเรียกได้ว่า “คุมอยู่” หากไม่มีปัจจัยจากภายนอก ที่ผู้ติดเชื้อเดินทางมาจากต่างประเทศ จนเริ่มมีการพูดถึงการผ่อนปรนมาตรการต่างๆ โดยเฉพาะเป็นช่วงเวลาใกล้หมดอายุของพระราชการกำหนดบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินในวันที่ 30 เมษายน 2563 แล้ว จะต้องมาพิจารณาว่าจะต่ออายุหรือจะพอแค่นี้ หรือต่ออายุไปแล้ว จะคลายล็อกให้ธธุกิจใดสามารถดำเนินกิจการได้บ้าง ภายใต้เงื่อนไขอย่างไร จะอนุญาตให้ธุรกิจประเภทใด หรือกิจกรรมใดสามารถดำเนินได้บ้าง และภายใต้เงื่อนไขใด เนื่องจากมีบทเรียนจากประเทศอื่น ที่ผ่อนปรนมาตรการแล้วเกิดปัญหาการแพร่ระบาดที่ขยายวงกว้างเกินการควบคุม โดยในความเห็นของ รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เสนอให้ผ่อนปรนมาตรการต่างๆหลังกลางเดือนพฤษภาคม และใช้เวลาเตรียมสังคมให้พร้อมก่อน ไม่เช่นนั้นเดือนมิถุนายนและกรกฎาคม คงหายใจกันไม่ทั่วท้อง นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผอ.กองโรคติดต่อทั่วไป ระบุว่าโรคทางเดินหายใจสามารถกลับมาได้ตลอดเวลา เพราะในต่างประเทศยังมีการระบาด แต่หากสามารถรักษามาตรการที่เข้มแข็งได้ จะยังคงมีผู้ป่วยน้อยในไทย ขณะที่อีกหนึ่งปัจจัยเปลี่ยนแปลง คือ หลังวันที่ 30 เมษายน 2563 หากมีการเดินทางเพิ่มขึ้น จากการผ่อนปรนมาตรการต่างๆ หรือการเดินทางมาจากต่างประเทศเพิ่มขึ้น อาจจะมีความเสี่ยงอีกครั้ง อาจจะต้องยกระดับมาตรการเพื่อให้ประเทศไทย มีการแพร่เชื้อน้อยที่สุด ในขณะที่ความรุนแรงจากผลกระทบด้านเศรษฐกิจ ก็เป็นปัจจัยที่รัฐบาลไม่อาจมองข้ามได้ ดังนั้นห้วงเวลาก่อนวันที่ 30 เมษายน 2563 จึงเป็น หัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญของสถานการณ์ ที่การตัดสินใจของรัฐบาลจะต้องถูกต้อง ครบถ้วน และรอบด้าน ทั้งสกัดการแพร่ระบาดและบรรเทาความเดือดร้อนจากปัญหาปากท้องของประชาชน ซึ่งมีการคาดการณ์ว่า เป็นไปได้ที่จะแบ่งโซนพื้นที่ในการผ่อนคลายมาตรการ สำหรับจังหวัดที่ไม่พบผู้ติดเชื้อหรือมีผู้ติดเชื้อน้อย อย่างไรก็ตาม ก่อนถึงเส้นตาย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ประกาศเชิญมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในประเทศไทย 20 อันดับมาหารือเพื่อหาแนวทางในการช่วยเหลือประชาชน “...ผมเข้าใจและซาบซึ้งที่หลายท่าน ได้ลงมือทำไปแล้วหลายเรื่อง แต่ผมต้องการให้ทุกท่าน ทำเพิ่มเติมมากกว่าที่ท่านได้ทำไป ผมรู้ว่าทุกท่านต่างก็เต็มใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่ประเทศต้องการความช่วยเหลืออย่างมากที่สุด เพราะผมรู้ว่าความเดือดร้อนของคนไทย ก็คือความเจ็บปวดของท่านด้วย ผมขอให้ทุกท่าน ได้แบ่งปันความสามารถ และความฉลาดหลักแหลม รวมทั้งมุมมองอันมีวิสัยทัศน์ของพวกท่านพร้อมกับใช้องค์กรที่มีศักยภาพสูงของท่าน มาช่วยกันจัดการกับวิกฤติ ที่เรากำลังเผชิญอยู่ในวันนี้” เราหวังว่า การระดมทีมมหาเศรษฐีไทย จะมีส่วนสำคัญต่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจ เป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบธุรกิจทุกระดับ และต่อลมหายใจให้กับประชาชนรากหญ้า อย่างโปร่งใส จริงใจ และยั่งยืน