“นักการเมือง” คือ ผู้ฝักใฝ่ในทางการเมือง ผู้ที่ทำหน้าที่ทางการเมือง เช่น รัฐมนตรี สมาชิกรัฐสภา “เล่นการเมือง” หมายความว่า ฝักใฝ่หรือปฏิบัติการเกี่ยวกับงานบริหารบ้านเมือง โดยปริยายหมายความว่า ใช้เล่ห์เหลี่ยมพลิกแพลงไม่ตรงไปตรงมา เพื่อผลประโยชน์ของตน เช่น ในวงการกีฬาก็มีการเล่นการเมือง นักกีฬาเก่ง ๆ บางคนถูกกีดกันไม่ให้เข้าร่วมทีม (พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554) ในช่วงที่ผ่านมา มักได้ยินคำว่า “ไม่ใช่เวลาเล่นการเมือง” เป็นวาทะตอบโต้ฝ่ายตรงข้าม โดยยกเอาความเป็นความตายของชีวิตประชาชน ในสงครามการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่สถานการณ์ร้ายแรงนี้เกิดขึ้นในหลายประเทศทั่วโลก จึงต้องการให้ทุกฝ่าย หมายรวมถึงนักการเมืองให้ความร่วมมือเพื่อผ่านพ้นวิกฤติ ทว่าอีกด้านหนึ่ง การยกเอาวาทะดังกล่าวขึ้นมาตอบโต้ กลับถูกมองว่าผู้พูดประโยคดังกล่าวนี้ ที่กำลังเล่นการเมืองเสียเอง กระนั้น เมื่อปฏิเสธไมได้มีการเล่นการเมืองกันตลอดเวลา แม้แต่ในห้วงเวลานี้ ที่ทุกฝ่ายต้องการความร่วมมือร่วมใจ สมานฉันท์ปรองดอง แต่ไม่ได้หมายความว่า ต้องเป็นลูกขุนพลอยพยักไปเสียทุกเรื่อง สิ่งใดเห็นท่าไม่ดี ก็ต้องกระตุก และตรวจสอบติดตามอย่างเข้มข้นเหมือนเดิม โดยเฉพาะการใช้จ่ายงบประมาณต่างๆที่เกี่ยวข้องไม่ให้เกิดการรั่วไหล เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและพี่น้องประชาชน แต่ไม่ใช่การ “เอาเท้าราน้ำ” แค่หวังทำคะแนนเสียงให้กับตนเองโดยไม่คำนึงถึงผลกระทบที่จะตามมาจากการแสดงความเห็นนั้นๆ ในขณะเดียวกันอีกฝ่ายก็ต้องเข้มแข็ง ยึดหลักการ ความถูกต้อง คิดให้รอบคอบ มองให้รอบด้าน ก่อนจะดำเนินการมาตรการใดๆ ยิ่งในสถานกาณ์ละเอียดอ่อนเช่นนี้ ก็ต้องพร้อมรับฟังเสียงวิจารณ์ หากพบข้อด้อยจริงก็ต้องรีบป้องกัน ปรับปรุงและแก้ไข ทำความเข้าใจกับประชาชน จึงเป็นการเล่นการเมืองอย่างสร้างสรรค์ อย่างไรก็ตาม ขอยกเอาเนื้อความจากการปาฐกถาธรรมของพระธรรมโกศาจารย์ (ท่านพุทธทาสภิกขุ)ทางวิทยุฯโทรทัศน์ ชุด การเมือง “การเมืองเรื่องของมนุษย์” เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม พ.ศ.2533 จากหอจดหมายเหตุพุทธทาส ตอนหนึ่ง มานำเสนอดังนี้ “ถ้าเป็นนักการเมือง มีอัตมมยตา ก็เป็นสัตตบุรุษ สภาก็คงเป็นสภา ก็มีสัตตบุรุษมานั่งกันเต็มสภา ผู้ที่มีความคงที่อยู่ในความถูกต้องเรียกว่ามีอตัมมยตา ก็ทำหน้าที่ตรงไปตรงมา ตามธรรมชาตินิสัยสันดานโดยมารยาทมันก็เป็นอย่างนั้น และมันมีปกติวิสัย "ปิดทองหลังพระ"มันไม่อยากเอาหน้า เอาตา มันก็ไม่กระทบกระทั่งกับใคร แต่ถ้ามันอยากดี อย่ากเด่นอยากโด่งอยากดัง มันก็กระทบรอบด้าน มันก็ทำความดีเอาหน้าไม่ปิดทองหลังพระ ข้อนี้ต้องขอยืมคำพูดของพระเยซูมาใช้เสียหน่อย พระเยซูสอนว่า ทำบุญอย่าเป่าแตร พุทธบริษัทระวังให้ดี ทำบุญอะไรสักนิดก็เป่าแตร มือซ้ายทำบุญ อย่าให้มือขวามันรู้ มันจะเป่าแตร มือขวาทำบุญอย่าให้มือซ้ายมันรู้ มันจะเป่าแตร ทำบุญอย่าเป่าแตร ถ้าไม่เป่าแตรก็ไม่กระทบกระทั่งกับใคร ทุกคนสมัครเป็นผู้ปิดทองหลังพระ ก็จะไม่มีการฟัดกันในกลางสภา ขอใช้คำตรงๆ สำนวนค่อนข้างจะหยาบคายว่าฟัดกันกลางสภา เพราะว่ามันจะปิดทองหน้าพระ ยิ่งไปกว่านั้นจะออกชื่อ อย่างนี้ไม่ไหว นักการเมืองทุกคน สมัครเป็นผู้ปิดทองหลังพระเถิด อธิษฐานจิตเป็นผู้ปิดทองหลังพระเถิด ไม่มีความเห็นแก่ตัว รับที่จะปิดทองหลังพระ ไม่มีตัวกู ของกู ไม่เห็นแก่ตัว มันจะเห็นแก่อะไรลองคิดดู ถ้าไม่เห็นแก่ตัว ก็ต้องเห็นแก่ผู้อื่นและเห็นแก่ความถูกต้อง มันต้องเห็นแก่ความถูกต้องก่อน แล้วจะเห็นแก่ผู้อื่น เมื่อเห็นแก่ผู้อื่นแล้วมันจะกระทบกระทั่งกันได้อย่างไรเล่า มันจะขัดแย้งกันได้อย่างไรเล่า มันไม่มีการก้าวก่าย ทิ่มแทงด้วยหอกปาก หอกปากนี่ร้ายกว่าหอกธรรมดา ถ้าไม่มีการทิ่มแทงด้วยหอกปากในรัฐสภา มันก็จะกลายเป็นสภาของสัตตบุรุษ”