สมบัติ ภู่กาญจน์ ในเรื่องเล่าท้ายสุด ของข้อเขียนตอนสุดท้าย อาจารย์ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้เสนอ‘เกร็ดความรู้’ ไว้อีกเรื่องหนึ่ง ด้วยเรื่องราวดังต่อไปนี้ “สมเด็จพระมหาสมณเจ้าพระองค์นั้น มิได้ทรงรังเกียจ หรือขวยเขิน ในการใช้อำนาจที่ ทรงมีอยู่ เพราะได้ทรงใช้อำนาจนั้นในการกวดขัน ให้พระได้เล่าเรียนและปฏิบัติพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัดตลอดมา ในฐานะที่ทรงเป็นพระราชวงศ์ผู้ใหญ่ กรมตำรวจได้ส่งตำรวจชั้นนายร้อยตรีคนหนึ่งให้ไปประจำพระองค์ นายตำรวจนายนั้นชื่อ ร.ต.ต.ล้อม คุณล้อมเป็นนายตำรวจชั้นสัญญาบัตรซึ่งเลื่อนยศขึ้นมาจากจ่า มีอายุมากพอสมควร ไม่ใช่คนหนุ่ม จึงเหมาะสมที่จะไปทำหน้าที่ในวัด โดยเป็นตำรวจประจำพระองค์สมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ คุณล้อมได้ไปทำงานประจำอยู่ที่วัดบวรนิเวศวิหารเป็นเวลานาน และได้เลื่อนยศขึ้นมาตามลำดับ จนมีบรรดาศักดิ์เป็น ‘ขุนล้อมระวังมาร’ เป็นตำรวจที่คอยระวังป้องกัน มิให้มีมารมาผจญสมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ ท่านขุนล้อมนี่เอง ได้เคยปรารภกับผู้ใหญ่รุ่นเดียวกับท่านหลายคน ต่อหน้าผม ซึ่งเป็นเด็กกว่าคนอื่น ที่ร่วมอยู่ในวงสนทนาด้วย ว่า สมเด็จพระมหาสมณเจ้านั้นท่านดีทุกอย่าง ยกเว้นอย่างเดียว ที่ขุนล้อมฯท่านวิตกก็คือ เมื่อท่านสิ้นพระชนม์ไปแล้ว ท่านอาจจะต้องตกนรก! คนฟังคำพูดท่านแล้วก็ตกใจ รุมถามกันว่า ทำไม? ท่านขุนล้อมระวังมารตอบว่า ก็เพราะท่านเกรี้ยวกราดเอากับพระอย่างดุเดือดไม่เว้นแต่ละวัน บางครั้งเวลาที่ท่านสอนหนังสือพระนักเรียนที่เป็นหนุ่มๆ องค์ไหนติดขัดหรือไม่สนใจในการเรียน หรือแปลบาลีผิดซ้ำผิดซาก ท่านถึงทรงตบตีเอาก็มี เวลาจะเสด็จไปไหนด้วยรถยนต์พระที่นั่ง ก็ต้องมีท่านขุนล้อมฯ ขึ้นนั่งที่หน้ารถ ถ้าทอดพระเนตรเห็นพระเห็นเณร ที่สัญจรอยู่ตามถนนหนทาง แสดงกิริยาไม่ชอบมาพากล จะให้ทรงหยุดรถพระที่นั่ง แล้วตรัสใช้ให้ขุนล้อมฯ ซึ่งแต่งเครื่องแบบตำรวจ ไป ‘จับ’พระมาถวาย เพื่อทรงถามชื่อและวัด ทันที ถ้าเกิดมีบางองค์วิ่งหนี ก็จะตรัสให้ขุนล้อมฯวิ่งไล่ ชาวบ้านเห็นเข้าก็ฮือฮากันเกรียว ที่ได้เห็น โปลิศวิ่งไล่จับพระ พฤติการณ์เหล่านี้เอง ที่ทำให้ท่านขุนล้อมระวังมาร ซึ่งเป็นพุทธมามกะ ผู้ต้องปฏิบัติหน้าที่อย่างคนไทยส่วนใหญ่ที่นับถือพระนับถือผ้าเหลือง เกิดความห่วงใยนอนตาไม่หลับ วิตกด้วยความภักดี ว่า สมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ อาจจะมิได้เสด็จสู่สุขคติ ในภพต่อไป อย่างไรก็ตาม สิ่งเหล่านี้ มีผลให้พระในยุคสมัยนั้น เรียบร้อย และประพฤติปฏิบัติอยู่ในพระธรรมวินัยเป็นประวัติการณ์” การสร้างการเรียนรู้ ด้วยเรื่องเล่าสอดแทรกความรู้-คู่อารมณ์ขัน-คู่เมตตา อย่างนี้แหละครับ คือสิ่งที่คนอ่าน(ทุกคนและทุกฝ่าย)ไม่รังเกียจที่จะอ่าน ส่วนหลังจากอ่านแล้วใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อแค่ไหนเพียงใดนั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่สิ่งดีที่ได้ก็คือ อย่างน้อยก็ทำให้คนได้ฟังอีกหนึ่งความคิด ที่มิใช่การโต้เถียงกันแบบสาดใส่อารมณ์รักหรือเกลียดเข้าหากัน นี่คือสิ่งที่ผมโหยหาอยู่ทุกวันนี้ว่า สังคมไทยค่อนข้างจะหาคนเขียนหนังสือเช่นนี้ได้ยากเต็มที ผมจึงต้องนำเสนอเรื่องราวเหล่านี้มายาวหน่อย ก่อนที่จะถึงท่อนจบ ซึ่งผู้เขียนใส่ความเห็นตรงๆเอาไว้ ว่า “ทุกวันนี้ (ขณะที่เขียนคือหลังปี ๒๕๒๑ บ้านเมืองผ่านยุคประชาธิปไตยสุดขั้วในช่วงปี๒๕๑๘-๑๙ มาจนมีเหตุปฏิรูปปฏิวัติในปี๒๐-๒๑ แล้วและสถานการณ์ในช่วงนั้น จะเรียกว่ายังอยู่ในโรดแมป ก็น่าจะได้เหมือนกัน) ถ้าใครไม่เชื่อว่า อำนาจจะทำให้พระเรียบร้อยได้ ก็ขอให้นึกถึงเรื่องที่ใกล้ๆตัวดูกันเอาเอง ในสมัยที่บ้านเมืองเป็นประชาธิปไตยเต็มที่นั้น พระเป็นอย่างไรกันบ้าง เรายังจำการชุมนุมประท้วง หรือจำผู้นำการประท้วงของบางท่านบางองค์กันได้ไหม? จนมาถึงขณะนี้ ปฏิรูปกันมาจนปฏิวัติอีกครั้ง พระเป็นอย่างไรบ้าง? ยังมียุวสงฆ์หรือชราสงฆ์ประชุมปลุกระดมกันอยู่อีกหรือเปล่า? ผมเองไม่แนะนำให้มีการใช้อำนาจเหนือสงฆ์ และไม่ต้องการให้มีฆราวาสปกครองพระเหมือนเช่นในอดีตที่เคยมีมา แต่ต้องการเห็นสงฆ์ปกครองกันเอง ด้วยหลักการแห่งพุทธบัญญัติหรือศาสนประเพณีดีๆที่เคยยึดถือกัน ผมอยากเห็นการปกครองสงฆ์ที่เข้มแข็งเด็ดขาดให้มากขึ้น อยากเห็นการจัดการกับผู้ที่ล่วงพระธรรมวินัย ตามที่เขียนหรือกำหนดไว้ในกฎหมาย อย่างเคร่งครัด เป็นต้นว่าใครต้องอาบัติปาราชิก ถ้าอธิกรณ์ถึงที่สุดแล้วก็ต้องให้สึก ถ้าไม่ยอมสึก ตำรวจก็จะต้องจับกุมดำเนินคดี อนึ่ง ผมได้สังเกตเห็นว่า ส่วนมากของพระภิกษุผู้ประพฤติผิดธรรมวินัยนั้น มักจะเป็นผู้ที่อ้างว่ามีอภิญญาหรืออภินิหารต่างๆ หรือไม่ก็นิยมด้านเวทย์มนต์คาถาปลุกเศกเครื่องรางของขลังโน่นนี่ พฤติกรรมเหล่านี้ คณะผู้ปกครองสงฆ์ ควรจะจับตาดูเป็นพิเศษ ถ้าหากว่าไม่เหมาะสม แต่ยังไม่ถึงขั้นล่วงพระธรรมวินัย ก็ควรจะตักเตือนห้ามปรามกันบ้าง อย่าปล่อยให้ฟุ้งซ่านหรือเกินเลยจนเกินไป ที่สำคัญที่สุด คณะผู้ปกครองสงฆ์จะต้องไม่มีหิริ คือความละอายแทนต่อผู้ประพฤติชั่ว หรือเห็นแก่ชื่อเสียงเกียรติคุณของวัดของนิกายหรือของสงฆ์ ในการขจัดอลัชชี และขออย่าได้มีโอตตัปปะ คือความกลัวว่าจะมีคนมาชุมนุมประท้วงหรือขู่ว่าจะเผากุฏิเผาวัด ถ้ามีก็ต้องนึกเสียว่าเป็นจาคะ คือยอมเจ็บตัวเพื่อรักษาธรรมเอาไว้ให้ได้ หรือถ้าถึงขั้นรุนแรงถูกเผากุฎิเข้าจริงๆ ก็ขอให้นึกเสียว่า เป็นตบะเผากิเลศของใครเสียก็แล้วกัน ก่อนที่จะลงจากธรรมาสน์แล้ววิ่งหนีไปเลย ผมขอเรียนให้คนที่ชอบมาชวนผมตอนนี้ให้เตรียมตัวลงเลือกตั้งในครั้งหน้าอีกครั้ง เพื่อช่วยกันแก้ปัญหาบ้านเมืองว่า คำชวนและเหตุผลอย่างที่อ้างนั้น ก็เหมือนกับชวนให้ผมไปบวช เพื่อที่จะได้ช่วยกันแก้ปัญหาพระพุทธศาสนา เป็นนัยยะอย่างเดียวกันแหละครับ เพราะฉะนั้น จึงขอจบเรื่องราวไว้แค่นี้แหละ” ‘ความเป็นมา ที่พุทธศานิกชนพึงรู้’ ที่ผมนำหนังเก่า(ซึ่งยังมีสาระดูได้)มาปรับแต่งให้เข้ากับเครื่องฉายยุคใหม่แล้วนำมาฉายใหม่ เป็นซีรีส์ไม่สั้นมาถึง 9 ตอนด้วยกัน ก็ได้เวลาที่ต้องจบบริบูรณ์ลงไปด้วยประการะฉะนี้