แก้วกานต์ กองโชค เมื่อเวลา 21.15 น.ของวันที่ 12 ส.ค.2559 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. แถลงการณ์ผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย (ทรท.) ถึงสถานการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในหลายพื้นที่ของ จ.ประจวบคีรีขันธ์ กระบี่ ตรัง นครศรีธรรมราช พังงา ภูเก็ต และสุราษฎร์ธานี ตั้งแต่วันที่ 11 - 12 ส.ค.2559 ว่า “ทำให้มีผู้บริสุทธิ์ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตหลายคน นับเป็นการกระทำที่ทำร้ายจิตใจคนไทยทั้งประเทศอย่างที่สุด ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนี้จะช่วยเป็นเครื่องย้ำเตือนจิตใจคนไทยอยู่เสมอ และแสดงให้เห็นว่ายังมีคนไม่ดีอยู่ในสังคมไทยและประเทศไทย” ระเบิดที่เกิดขึ้นใน 7 จังหวัดภาคใต้ กลายเป็น “ปริศนา” ที่ใครหลายคนอยากรู้มากที่สุดว่า ผู้วางระเบิดต้องการอะไร และเป็นใคร พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ บอกว่า มีผู้เสียชีวิตจำนวน 4 คน บาดเจ็บ 32 คน มีการเก็บรวบรวมพยานหลักฐานในที่เกิดเหตุในทุกพื้นที่ เพื่อนำมาหาความเชื่อมโยง “ขณะนี้ยังไม่สามารถเชื่อมโยงกลุ่มเกิดเหตุทั้ง 7 จังหวัดว่าเป็นกลุ่มเดียวกันหรือไม่ แต่จากประสบการณ์ที่ทำงานด้านความมั่นคงมาตลอด มั่นใจว่าน่าจะเป็นกลุ่มเดียวกัน และจากหลักฐานระเบิดที่พบ ก็มีความคล้ายคลึงกับการก่อเหตุใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้” ความสำคัญของคดีดังกล่าว จะเห็นได้จากคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ 544/2559 เรื่องแต่งตั้งคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนและเจ้าหน้าที่นิติวิทยาศาสตร์โดยให้ พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รอง ผบ.ตร.เป็นหัวหน้าคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน และให้ พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ รอง ผบ.ตร. พล.ต.ท.สุวิระ ทรงเมตตา พล.ต.ท.สุชาติ ธีระสวัสดิ์ พล.ต.ท.ธรรมศักดิ์ วิชชารยะ พล.ต.ท.อรรถชัย เกิดมงคล พล.ต.ท.เดชา ชวยบุญชุม พล.ต.ท.ศักดา ชื่นภักดี ผู้ช่วย ผบ.ตร. พล.ต.ท.ฐิติราช หนองหารพิทักษ์ ผบช.ก. พล.ต.ท.ชัยวัฒน์ เกตุวรชัย ผบช.ภ.1 พล.ต.ท.ชาญเทพ เสสะเวส ผบช.ภ.7 พล.ต.ท.เทศา ศิริวาโท ผบช.ภ.8 พล.ต.ท.จิตติ รอดบางยาง ผบช.ภ.9 พล.ต.ท.เฉลิมพันธ์ อจลบุญ ผบช.ศชต. เป็นรองหัวหน้าคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน เรียกได้ว่า เป็นระดมมือดีของสำนักงานตำรวจแห่งชาติมาทั้งหมดเพื่อคลี่คลายคดีนี้โดยเฉพาะ ประเด็นที่เป็นสาเหตุระเบิดทั้ง 7 แห่งนั้น ในเบื้องต้นมีการสรุปว่า มีความเชื่อมโยงกับ 1) การรับร่างรัฐธรรมนูญ เนื่องจากพื้นที่เกิดเหตุทั้ง 7 จังหวัด ถือเป็นพื้นที่ที่ลงมติรับร่างรัฐธรรมนูญ และเป็นพื้นที่สำคัญของกลุ่ม กปปส.ที่มีกำนันสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นหัวหอก ทั้งจังหวัดกระบี่ นครศรีธรรมราช พังงา ภูเก็ต และสุราษฎร์ธานี 2) การก่อเหตุร้ายใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เนื่องจากมีการกระทำอย่างเป็น “กระบวนการ” ในห้วงเวลาไล่เลี่ยกัน และหลักฐานจากวัตถุประกอบระเบิดมาจากที่เดียวกัน 3) การโยกทหารและตำรวจในเดือนกันยายน โดยเฉพาะกองทัพบก ซี่งค่อนข้างแน่นอนแล้วว่า พล.อ.พิสิทธิ์ สิทธิสาร เสนาธิการทหารบก (เสธ.ทบ.) จะขยับขึ้นเป็นผู้บัญชการทหารบกคนต่อไป 4) ความเกี่ยวเนื่องกับสถาบัน ซึ่งผู้ไม่หวังดีจงใจกระทำการในช่วงเวลาของ “วันแม่แห่งชาติ” อย่างไรก็ตาม ทิศทางการข่าวทั้งในเฟสบุ๊ก และสื่อต่างๆ ล้วนแล้วแต่พุ่งไปที่ “กลุ่มหัวรุนแรงของ นปช.” ทำให้แกนนำ นปช. และพรรคเพื่อไทยต่างดาหน้าออกมาปฏิเสธกันหลายคน กระนั้นก็ตาม “ความเชื่อ” ในสังคมออนไลน์ไปไกลเกินกว่าจะย้อนกลับมา ทั้งนี้ศาลจังหวัดนครศรีธรรมราชได้ออกหมายจับผู้ต้องหาแล้ว 1 ราย เป็นชายชาว อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่ ในข้อหาวางเพลิงเผาทรัพย์ของผู้อื่น นอกจากนั้นเจ้าหน้าที่ยุทธการ กองบัญชาการกองทัพภาคที่ 4 ได้เชิญตัวแกนนำเคลื่อนไหวทางการเมืองที่ถูกติดตามพฤติกรรมในจังหวัดทางใต้มายังมณฑลทหารบกที่ 43 (มทบ.43 ) อำเภอทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราช เพิ่มเติมอีก 3 ราย นักเคลื่อนไหวที่ถูกควบคุมตัวทราบชื่อคือ นายประพาส โรจนพิทักษ์ อายุ 67 ปี ที่บ้านเลขที่ 33/2 ม 4 ต.โคกหล่อ อ.เมืองฯ โดยเจ้าหน้าที่ใช้อำนาจตามมาตรา 44 ควบคุมตัวเพื่อไปสอบสวนที่ค่ายท้าวเทพกระษัตรี ท้าวศรีสุนทร อ.ทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราช โดยเชื่อว่าอาจเชื่อมโยงกับการลอบวางระเบิดใน จ.ตรังและอีกหลายจังหวัด ในการสอบสวนเบื้องต้นนายประพาสได้ให้การปฏิเสธ แต่ยอมรับว่าที่ผ่านมามีการทำกิจกรรมทางการเมืองกับพรรคพวก ไปมาหาสู่กัน แต่ไม่ใช่ลักษณะการเคลื่อนไหวทางการเมือง เพียงแต่มีแนวความคิดที่แลกเปลี่ยนกันเป็นปกติธรรมดา พร้อมยืนยันว่าไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับ นปช. เพราะเคยดำรงตำแหน่งอดีตกรรมาธิการวิสามัญร่างรัฐธรรมนูญปี 2550 นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ทหาร พร้อมอาวุธครบมือจำนวน 20 นาย ได้จู่โจมเข้าตรวจค้นร้านลำโพงบ้านหม้อ เลขที่ 12/25 ซึ่งตั้งอยู่ในตลาดเกษตรสุวพันธุ์ ต.ตลาดหลวง อ.เมืองอ่างทอง ซึ่งเป็นของนายวิชัย ผดุงศักดิ์ศรี อายุ 60 ปี หนึ่งในกลุ่มแกนนำ นปช.คนเสื้อแดง จ.อ่างทอง นั่นหมายความว่า ปมระเบิด 7 จังหวัดภาคใต้น่ามีน้ำหนักจากกรเมือง มากกว่าการทหาร จนพอจะเห็นเค้าลาง “หน้าตาผู้บงการ”