สถาพร ศรีสัจจัง หัวใจของระบบทุนนิยมบริโภค คือ “เงินทอง” (กำไร) ส่วนหัวใจของระบบเศรษฐกิจพอเพียง (ล้นเกล้ารัชกาลที่ 9 ของประเทศไทยทรงพระราชทานไว้ให้) คือ “การพึ่งตัวเอง” = “ผลิตเองได้” = “ผลิตอาหารการกินได้เอง (หรือแลกเปลี่ยนผลผลิตกับเพื่อนบ้านหรือ “คนในกลุ่ม” ได้ ) = มี “ข้าวปลา” เป็นของตัวเอง! ไม่แน่ใจนักว่าเมื่อระบบ “Globalization” (หรือโลกยุคไร้พรมแดน) นำเจ้าไวรัส โคโรนา หรือ “โควิด- 19” มาแจกจ่ายข้ามพรมแดนแต่ละพรมแดนไปทั่วโลกอย่างรวดเร็วทั่วถึง ตามแบบฉบับอันทันสมัยของโลกยุค “ดิจิตอล” ซึ่งทุกอย่างต้อง “รวดเร็ว” แบบสังคมเมืองหนาวชาวตะวันตก(ไม่ใช่ปาน “กามนิตหนุ่ม” ในวรรณกรรมของท่านเสฐียรโกเศศ และ นาคะประทีป แต่ต้องแบบ “ไวรัล” ตามรูปแบบของ “Marketing” ของทุนนิยมยุคใหม่) ไม่ใช่เชื่องช้าแบบ “ slowly life” ตามแบบแผนในสังคมอดีตของเอเซียเรานั้น จะมีผลกระทบต่อความรู้สึก หรือต่อแนวคิดในการนำพาสังคมในวันเวลาภายภาคหน้า ( หากสามารถต่อสู้จนผ่าน “วิกฤติไวรัส โควิด-19” ไปได้) ของท่านผู้นำไทยอย่างไรบ้าง? หรือคำ “พึ่งตัวเองได้” จะเป็นคำที่ไม่มีอยู่ในสาระบบของยุค “ดิจิตอล” ? หากสังคมโลกเกินครึ่งโลกต้อง “Lockdown” จริงๆ และ ประเทศไทยต้องกลายเป็นหนึ่งในนั้น ก็ลองนึกถามดูกันเอาเองก็แล้วกันว่ารัฐบาลเก่งๆอย่างรัฐบาลนายกฯลุงตู่ จะหาเงินมา “เยียวยา” ชาวบ้านร้านช่องหลากหลายอาชีพ รวมแล้วไม่น้อยกว่าร้อยละ 60 ของคนในชาติ (ที่เริ่มแบมือขอกันบ้างแล้วในตอนนี้) ได้สักกี่วัน? ตั้งแต่เริ่มมีสิ่งที่เรียกว่า “แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ” ตั้งแต่สักประมาณเมื่อ 5 ทศวรรษก่อนคตินิยม “พึ่งตัวเอง” (อัตตาหิ อัตโน นาโถ) ซึ่งเป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็เริ่มจางหายไปจากมโนสำนึกของคนไทย สิ่งที่เข้ามาแทนก็คือคติ “งานคือเงิน เงินคืองาน บันดาลสุข” ซึ่งนักวางแผนชาวอเมริกันเอามายัดหัวผู้นำประเทศ นักเผด็จการในยามต้นของแผนฯนั้น และ เผด็จการก็ใช้เครื่องมือโฆษณาชนิดต่างๆบรรดามี(รวมถึงระบบการศึกษาของชาติ) ยัดใส่หัวประชาชนไทยอีกต่อหนึ่ง ถึงขนาดทำจดหมายลับ “สั่ง” เชิงขอความร่วมมือถึงมหาเถรสมาคมให้พระในศาสนาพุทธต้องเลิกเทศน์เลิกสอน หัวข้อเรื่อง “ความสมถะ” เอาเข้านั่น! ระบบเศรษฐกิจแบบพึ่งตัวเอง (แบบพอเพียง) ที่มีฐานรากอยู่บนหลัก “เศรษฐศาสตร์แบบชาวพุทธ” (ดูหนังสือเรื่อง “เศรษฐศาสตร์ของชาวพุทธ” โดย อี.เอฟ.ชูเมกเกอร์) ก็พังทะลายลงอย่างรวดเร็ว การผลิตล้วนต้องพึ่งการส่งออกเพื่อแปรค่าผลผลิตให้เป็น “เงิน” ให้ได้มากที่สุด เพราะรัฐจะได้มั่งคั่งขึ้น นอกจากคอร์รัปชันได้มากขึ้นแล้วก็จะได้นำเงินไป “พัฒนา” โครงสร้างพื้นฐานให้สามารถนำทรัพยากรธรรมชาติ และ ผลผลิตทางการเกษตร “ส่งออก” ขายให้บรรดาจักรวรรดินิยมยุคใหม่ โดยเฉพาะอเมริกาได้มาก และสะดวกยิ่งขึ้น เป็นการ “ขายถูก” เพื่อ “ซื้อแพง” กลับมา! แล้วทรัพยากรของเราก็หมดประเทศไปอย่างรวดเร็วในเวลาไม่ถึง 50 ปีเหล่านั้นแหละ ทั้งป่าไม้ แร่ธาตุ รวมถึงทรัพยากรธรรมชาติอื่นๆ สิ่งที่สังคมไทยได้รับในรอบ 50 ปีแห่ง “การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ” เหล่านั้นก็คือความพินาศของ ป่าไม้ (สูญเสียระบบนิเวศน์)/น้ำ(เน่าถ้วนทั่ว)/อากาศ(เน่าและเต็มไปด้วยฝุ่นพิษ)/ดิน(เป็นพิษเพราะสารเคมีที่เกิดจากการปลูกพืชเชิงเดี่ยวเพื่อขาย) ทะเลและมหาสมุทร(สัตว์หมดทะเลและขยะเข้ามาแทน ฯลฯ และระบบการเมืองที่เลอเลิศชื่อ “ประชาธิปไตย” (เพื่อทุนนิยม) ที่สร้างนักการเมืองเลอแสนประเสริฐศรีขึ้นได้จำนวนหนึ่ง สร้างวัฒนธรรมการรัฐประหารที่ถี่ยิบ และท้ายสุดก็นำประเทศเข้าสู่ “วงจรอุบาทว์” สร้างคนในสังคมให้ขัดแย้งเข่นฆ่ากันเองแบบยังไม่เห็นจุดจบ และภายใต้ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมพึ่งพาเช่นนี้เอง ที่ทำให้ก่อเกิดตระกูลมหาเศรษฐีและตระกูลอิทธิพลท้องถิ่นเพียงไม่กี่ร้อยตระกูลยึดครองประเทศไทยไว้ได้ โดยมีราษฎรส่วนใหญ่ถูกลากถูลู่ถูกังเข้าสู่วรจรอุบาทว์ของระบบทุนนิยมบริโภคที่มี “โปรแกรมเมอร์ลึกลับ” ระดับโลกบัญชาการบริหารอยู่เบื้องหลังอย่างเลือกไม่ได้! เสร็จเหตุการณ์ “โควิด-19” เรียบร้อยแล้ว(ถ้ารอด) นายกฯลุงตู่ในฐานะที่คนไทย(ส่วนใหญ่)ตัดสินใจมอบอำนาจในการบริหารประเทศให้(ในห้วงเวลาที่ผ่านมาและต่อเนื่องถึงวันนี้) จะไม่ลองใช้อำนาจของตน(ถ้ามี?)ไตร่ตรองสักหน่อยหรือ ว่าควรค่อยๆถอนตัวของจากวงจรอุบาทว์ของ “ทุนนิยมบริโภค” มาเชื่อและเดินตามแนวทางของล้นเกล้ารัชกาลที่ 9 คือ ระบบ “เศรษฐกิจพอเพียง” (ที่พรรคที่คิดว่าตัวเอง “ก้าวหน้า” อย่างพรรคของคุณทักษิณและพรรคของคุณธนาธรไม่เอาอย่างแน่นอน)ให้มากขึ้นแบบจริงจังดูสักตั้ง! ไม่ได้ปฏิเสธทุนนิยมนะ แต่ปฏิเสธทุนนิยมเสรีที่สุดโต่ง!(ตอนนี้มีแบบจากหลายประเทศให้ดูเยอะนี่ ตั้งแต่จีนจนถึงฟินแลนด์และภูฏาน นั่นไง) ถ้าเข้าสู่เส้นทางนั้นได้ บางทีอาจจะทำให้ค่อยๆเห็นว่า คำที่ท่าน มจ.สิทธิพร กฤดากร เคยกล่าวไว้ ที่ว่า “เงินทองเป็นของมายา ข้าวปลาเป็นของจริง” นั้นศักดิ์ศิทธิ์ และ จะทำให้มนุษย์ในสังคมไทยมีทุกข์น้อยลง ฆ่าตัวตายน้อยลง ชุมชนหมู่บ้านล่มสลายน้อยลง จริยธรรมพังพินาศน้อยลง (อย่างที่กำลังเป็นอยู่ในสังคมไทยปัจจุบัน)ได้อย่างไร!!!