“ประวัติศาสตร์” เป็นมรดกความรู้ของมนุษย์ แต่ข้อเขียนและตำนาน คำบอกเล่าเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ก็เป็นสิ่งที่มนุษย์ “ปรุงแต่ง” ขึ้น ปรุงแต่งตามทรรศนะ (แนวคิด ความเชื่อ) ของผู้เขียนประวัติศาสตร์ เนื้อหาประวัติศาสตร์ที่เขียนและเล่ากันมา จึงมีทั้งที่ส่งเสริมให้มนุษย์ตีกัน สู้รบกัน และส่งเสริมให้มนุษย์สามัคคีเอื้ออาทรต่อกัน พงศาวดารโบราณของแทบทุกชาตินั้น โดยมากก็ไม่ใช้ประวัติศาสตร์ที่แท้ แต่มักจะเป็นตำนานที่ได้เล่าบอกกันมาเป็นเวลาช้านาน แล้วก็จดจำเล่ากันด้วยปากลงมา บางเรื่องก็ยังทำให้มนุษย์ต่างเผ่าพันธุ์เคียดแค้นกันมาจนถึงทุกวันนี้ เมื่อเกิดตัวอักษรสามารถเขียนจดบันทึกประวัติศาสตร์ได้ คนก็มักเลือกบันทึกข้อมูลอย่างลำเอียง การค้นคว้าหาหลักฐานทางประวัติศาสตร์ให้ใกล้เคียงความจริงที่สุดนั้น เป็นของที่ต้องกินเวลานาน และอาจจะไม่สามารถทำได้เสร็จในชั่วชีวิตของบุคคลคนหนึ่ง จำเป็นจะต้องใช้เวลาหลายสิบปี หรือบางทีเป็นร้อย ๆ ปี กว่าจะปรากฏเป็นหลักฐานที่แน่ชัด เรื่องประวัติศาสตร์จึงนับเป็นการ “สืบทอดต่อเนื่อง” ไม่มีผลงานที่เป็นการสร้างสรรค์ creative ของใครคนเดียว และก็ไม่มีใคร ถูกหรือผิด อย่างสัมบูรณ์ แต่อย่างน้อยมันก็มีประโยชน์ อาจช่วยให้บางคนไม่ทำผิดพลาดอย่างโง่ ๆ และประวัติศาสตร์ก็สอนเราชัดเจนว่า มนุษย์ไม่เคยเรียนรู้จากประวัติศาสตร์ ! แล้วจะไปสนใจประวัติศาสตรืกันทำไม ? ให้ความสำคัญกับวิชาประวัติศาสตร์มาก เพราะประวัติศาสตร์ส่งผลต่อสังคมปัจจุบันได้ทั้งด้านดีและด้านร้าย ที่น่ากลัวคือ เวลามันร้าย ผู้คนเสียหายกันมาก ทรรศนะประวัติศาสตร์จึงควรใส่ใจ สร้างสรรค์ให้พลเมืองมีทรรศนะประวัติศาสตร์เชิงสร้างสรรค์ ลดทอนทรรศนะประวัติศาสตร์ที่กระตุ้นให้มนุษย์ทำลายล้าง ฆ่าฟัน ล้างแค้นกัน “เพียงเพราะมีคนเขียนหนังสือไว้” ทำให้เกิดการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์กันมาแล้ว ยกตัวอย่างเรื่อง นาซีเกลียดชาวยิว ในอดีตมีคนเขียนหนังสือกล่าวหาชาวยิวไว้หลายเรื่อง ตั้งแต่เรื่อง ฆ่าพระเยซู ไปจนถึงความงกความเห็นแก่ได้ ลากไปจนถึง คาร์ล มาร์กซ เป็นยิววางแผนครองโลก ..... หนังสือเหล่านั้นเขียนไว้เป็นพันเป็นร้อยปีแล้ว แต่มันก็ยังมีอิทธิพลต่อคนส่วนหนึ่งอยู่จนถึงปัจจุบัน ว่าไปแล้ว ประวัติศาสตร์ก็มีความเป็นนิยายส่วนหนึ่ง และนิยายก็คือประวัติศาสตร์อีกด้านหนึ่ง คนที่อ่านประวัติศาสตร์ (เล่มใดเล่มหนึ่ง) ยิ่งโง่เท่าไร ก็ยิ่งส่งเสริมให้คนที่เขียนประวัติศาสตร์ (เล่มนั้น) ดูเก่ง ดูฉลาด ขึ้นเท่านั้น เราต้องจำแนกให้เป็นระหว่างเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงในอดีต กับเรื่องที่นักประวัติศาสตร์บันทึก หรือแต่งขึ้น อันเป็นเรื่องที่จดจารกันหลังจากเหตุการณ์นั้น ๆ ผ่านไปนานแล้ว เราจึงควรศึกษาเรียนรู้ให้กว้างเข้าไว้ รับข้อมูลทั่วด้าน จึงจะไม่ตกเป็นเหยื่ออารมณ์ เหยื่ออคติ ของใครบางคน “ที่แค่เขียนหนังสือไว้” เท่านั้น