สถานการณ์ของรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา น่าเป็นห่วง อยู่ในจุดเสี่ยงเข้าเขตพื้นที่สีแดง หรือโซนอันตราย จากปัญหาการบริหารจัดการความต้องการอุปกรณ์ในการป้องกันตนเองจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือโควิด-19 ขนาดบุคลาการทางการแพทย์เองยังขาดแคลนหน้ากากอนามัย ทำให้กระทรวงพาณิชย์ต้องจัดสรรหน้ากากอนามัยส่งไปยังโรงพยาบาลรัฐ 4 แสน 3 หมื่นชิ้นกระจายตามจังหวัดต่างๆ และที่ซ้ำเติมให้สถานการณ์ยิ่งเลวร้าย เมื่อมีการเปิดโปงขบวนการกักตุนหน้ากากอนามัย และมีการกล่าว หาคณะทำงานของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับบุคคลที่มีการกักตุนหน้ากากอนามัยจำนวน 200 ล้านชิ้น แม้ ร.อ.ธรรมนัส จะยืนยันว่าตนเองไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการดังกล่าวก็ตาม พร้อมเชื่อว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องการเมือง และเบื้องต้นได้ปลดพิตตินันท์ รักเอียด ออกจากคณะทำงานไปตั้งแต่เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2563 แล้ว แต่กรณีที่เกิดขึ้น ทำให้แรงเสียดทานที่มีต่อตัวรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น และส่งผลกระทบต่อรัฐบาลอย่างหลีกเลี่ยงได้ยาก ด้วยก่อนหน้านี้มีหลายกรณีที่รัฐบาลถูกจับตาถึงจุดยืนในการดำเนินการตามกฎหมายกับบุคคลากรในซีกของรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นกรณีของ การรุกที่ป่าสงวนนางสาวปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ และกรณีของ ร.อ.ธรรมนัส จากปมปัญหาเรื่องของคดีความในอดีต เมื่อเกิดกรณีนี้ขึ้น จึงเปรียบเหมือนชนวนระเบิดสำคัญ ที่กระทบต่อวิกฤติศรัทธาของรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จากแถลงการณ์ขององค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) “เรื่อง COVID-19 ...วิกฤติความเชื่อมั่นที่ประชาชนไทยมีต่อรัฐบาล” ระบุว่า “ที่น่ากลัวกว่าวิกฤติ COVID-19 คือ วิกฤติความเชื่อมั่นที่ประชาชนไทยมีต่อรัฐบาล ในท่ามกลางความวุ่นวาย ตื่นตระหนกต่อสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับชีวิตของคนไทย อันสืบเนื่องมาจากวิกฤติ COVID -19 ที่ได้คร่าชีวิตคนในโลกไปแล้วเป็นจำนวนกว่า 3,826 ราย ฉุดให้ภาคธุรกิจทุกกลุ่มมีอัตราการถดถอยอย่างรุนแรง บางธุรกิจต้องมีการปิดตัว บางประเทศต้องปิดเมือง ประชาชนส่วนใหญ่ต้องหวังพึ่งภาครัฐในการฟันฝ่าต่อสู้กับโรคระบาดครั้งนี้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ความวุ่นวายสับสนของข้อมูล ข่าวลือเรื่องการโกงกิน แม้กระทั่งหน้ากากอนามัย (Face Mask) ซึ่งถือว่าเป็นอุปกรณ์พื้นฐานในการป้องกันโรคร้ายที่ประชาชนสมควรได้รับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มวิชาชีพหมอ และพยาบาลผู้เสียสละทำงานแต่ขาดซึ่งปัจจัยพื้นฐานเช่นนี้ ซึ่งหากเป็นจริงตามข่าวถือว่าเป็นเรื่องที่น่าละอายยิ่ง องค์การต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) จึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลแสดงจุดยืนที่ชัดเจนในข่าวการโกงกินที่เกิดขึ้น เพื่อแสดงถึงความจริงใจในการแก้ปัญหา เสริมสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนคนไทย อย่าปล่อยให้ เรื่องดังกล่าวทำลายความเชื่อมั่นศรัทธา และทำร้ายความรู้สึกของประชาชนเพราะในการต่อสู้กับวิกฤติครั้งนี้เป็นหนึ่งในวิกฤติการณ์สะเทือนโลก การต่อสู้ยังอีกยาวไกล ดังนั้นการมีรัฐบาลที่พึ่งพาได้ ซื่อสัตย์จริงใจต่อความยากลำบากของประชาชน จะเป็นขวัญและกำลังใจที่ดียิ่งในการต่อสู้ร่วมกัน” เราเห็นว่า ในสถานการณ์วิกฤติเช่นนี้ กระบวนการตรวจสอบข้อเท็จจริงและการสอบสวนตามปกติไม่อาคลี่คลายความไม่ไว้วางใจของประชาชนได้ และแม้จะมีผลสอบสวนออกมาอาจจะทำให้กรณีนี้ไม่ยุติลงได้โดยง่าย ฉะนั้น รัฐบาลโดยพล.อ.ประยุทธ์อาจต้องมีวิธีพิเศษในการจัดการกับปัญหานี้โดยเฉพาะ และรวดเร็วก่อนจะลุกลาม