เสียงเรียกร้องจาก “ฝ่ายการเมือง” เพื่อให้มีการใช้เวทีสภาผู้แทนราษฎร แก้ไขปัญหาการเคลื่อนไหวของกลุ่มนักศึกษาต่อต้าน ขับไล่รัฐบาล ของ “บิ๊กตู่”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ดูเหมือนว่ากำลังจะกลายเป็นเสียงที่แผ่วเบาลงไปทุกที เพราะเมื่อเวลานี้ พี่น้องประชาชนต่างพากัน มุ่งทุกความสนใจไปยังเรื่องของการแพร่ระบาดเชื้อไวรัส โควิด-19 ยิ่งเมื่อเผชิญปัญหาหลายทาง ในคราวเดียวกัน อันล้วนแล้วแต่ส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน โดยหลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อนาทีนี้ ประชาชนไม่สามารถหาซื้อหน้ากากอนามัยเพื่อเอาไว้ป้องกันตัวเองจากการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด -19 หรือหากจำเป็นต้องซื้อ ยังต้องเจอกับปัญหาสินค้าราคาแพง ผู้ค้ามีการโก่งราคา ควบคู่ไปกับการกักตุนหน้ากากอนามัย ไม่เพียงแต่ประชาชนทั่วประเทศเท่านั้นที่กำลังเผชิญหน้ากับปัญหาดังกล่าว แต่ยังกลายเป็นว่าตามสถานพยาบาล ตามโรงพยาบาล ยังพบว่าบุคลากรทางการแพทย์ ก็ประสบปัญหาอย่างหนัก ด้วยมีหน้ากากอนามัย เพื่อใช้ในการปฏิบัติงานไม่เพียงพอ ล่าสุดรัฐบาลต้องประชุมด่วนเพื่อหาทางรับมือและวางมาตรการแก้ไขปัญหา “ผีน้อย” แรงงานไทยที่เดินทางกลับจากประเทศเกาหลีหนีเชื้อไวรัสโควิด-19 จากนั้นไม่กี่ชั่วโมง พล.อ.ประยุทธ์ ได้แถลงข่าวประกาศมาตรการที่ชัดเจนออกมาว่า จะต้องมีการตรวจคัดกรองกันตั้งแต่ “ต้นทาง” โดยเป็นหน้าที่ของกระทรวงคมนาคมและกระทรวงการต่างประเทศตั้งแต่ประเทศต้นทาง โดยต้องมีการรับรองว่า แรงงานไทยที่เดินทางไปทำงานยังเกาหลีใต้ จะต้องไม่ติดโรคอะไรกลับมา เมื่อมาถึงสนามบินที่ประเทศไทย ก็ต้องประสานกับด่านตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ทำการคัดกรองว่าใครมีอาการป่วยและใครที่อยู่ในสภาพปกติ จากนั้นหากพบว่าแรงงานไทยจากเกาหลีใต้รายใดที่มาจาก 2เมืองเสี่ยง ที่มีการแพร่ระบาดมากที่สุด คือ แดกูและคยองซัง จะต้องถูกควบคุมตัวในสถานที่ที่รัฐบาลกำลังเตรียมจัดหาไว้ โดยในส่วนของกองทัพได้เตรียมพื้นที่ 10มทบ.ในพื้นที่ภาคอีสาน เพื่อรองรับ เป็นเวลา 14 วัน หมายความว่า “วาระเร่งด่วน” สำหรับรัฐบาล เวลานี้ จึงต้องโฟกัสอยู่กับการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 ไปพร้อมๆกับเรียกความเชื่อมั่นในการแก้ปัญหาการขาดแคลนหน้ากากอนามัย และเจลฆ่าเชื้อโรค ที่ขาดตลาด ไม่เช่นนั้นแล้ว โอกาสที่จะเรียกคืนความเชื่อมั่นของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ อาจจะส่อเค้า “วิกฤติ” ตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่กำลังลุกลามไปทั่วโลก ขณะที่ปัญหาความวุ่นวายทางการเมือง ทั้งการปรับครม. ที่อาจก่อให้เกิดปัญหาภายในพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกันเอง หรือแม้แต่การเคลื่อนไหวของกลุ่มนักเรียน นักศึกษา ตามสถาบันต่างๆเพื่อขับไล่พล.อ.ประยุทธ์ และรัฐบาล ได้กลายเป็น “เรื่องรอง” ลงไป โดยปริยาย โอกาสที่จะถูกปลุกขึ้นมา เพื่อเรียก “แนวร่วม” ให้ออกมาต่อต้านรัฐบาลนั้นอาจไม่ใช่เรื่องง่ายดาย เพราะอย่าลืมว่าแม้รัฐบาลจะเผชิญกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ จากการแก้ปัญหาโควิด-19 นาทีนี้ ปฏิเสธไม่ได้ว่า ต้องอาศัยการขับเคลื่อนและการออกมาตรการต่างๆ โดยรัฐบาลของพล.อ .ประยุทธ์ นั่นเอง !