น่าสนใจการแพร่ระบาดของแฟลชม็อบที่ลุกลามจากสถาบันระดัมอุดมศึกษา ไปสู่สถาบันระดับมัธยมศึกษา
ในขณะที่ปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร หรือ Information Operation หรือ IO ตัดต่อวาทกรรมบิดเบือนเพื่อยั่วยุปลุกปั่นกำลังแพร่กระจายไปทั่ว เสี้ยมให้คนเกลียดชังแบ่งฝักแบ่งฝ่าย
ไวรัสความเกลียดชังในสังคมไทยนั้น สั่งสมมาจากวิกฤติการณ์ทางการเมืองมาตลอด 10 กว่าปีที่ผ่านมา แม้จะมีบางช่วงที่ได้รับยากดอาการไว้ แต่เชื้อยังอยู่ในร่างกาย และรอเวลาสำแดง ทำให้หลายฝ่ายวิตกกังวลว่าสถานการณ์การเมืองไทยจะเดินย่ำซ้ำรอยเหตุการณ์ 14 ตุลา 2516 และ 6 ตุลา 2519
ในคอลัมน์ตะเกียงเจ้าพายุ เรื่อง “การเมืองที่เด็กไม่ฟังผู้ใหญ่” ประจำวันที่ 15 กรกฎาคม 2562 โดยนายทวี สุรฤทธิกุล มีความตอนหนึ่งระบุว่า “...บทเรียนอันสำคัญจากช่วงเวลาดังกล่าวก็คือ "เด็กไม่ฟังผู้ใหญ่" ซึ่งผู้เขียนขออ้างถึง ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช "ผู้หลักผู้ใหญ่" คนหนึ่งในบ้านเมืองในยุคนั้น ในคราวที่ผู้เขียนในฐานะอาจารย์ประจำสาขาวิชารัฐศาสตร์มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ได้จัดทำโครงการวิจัยประวัติศาสตร์จากคำบอกเล่า เมื่อ พ.ศ. 2534 โดยการสัมภาษณ์นักการเมืองอาวุโส ซึ่งก็มีท่านอาจารย์คึกฤทธิ์เป็น "แหล่งข้อมูลสำคัญ"(Key Informant) อยู่ด้วยท่านหนึ่ง
ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์เล่าว่า ตอนที่จะเกิดเหตุการณ์วันที่ 14 ตุลาคม 2516 ท่านได้ทราบข่าวสารจากลูกศิษย์ลูกหาในมหาวิทยาลัย "ส่งสัญญาณ" ให้ทราบบ้างแล้วว่า มีกลุ่มนิสิตนักศึกษากำลังจะมีการรวมตัวกัน "ขับไล่ทหาร" ด้วยความห่วงใยท่านก็ได้เขียนบทความในหนังสือพิมพ์สยามรัฐของท่าน "ตักเตือน" ไม่ให้กลุ่มนิสิตนักศึกษา "หักด้ามพร้าด้วยเข่า" อย่างในกรณีที่ท่านเขียนถึงการล่าสัตว์ของกลุ่มข้าราชการที่ทุ่งใหญ่นเรศวรในตอนต้นปี2516 ที่กลุ่มนิสิตนักศึกษาได้ก่อตัวขึ้นโจมตีรัฐบาล แม้แต่ในกรณีที่มีนักศึกษาที่มหาวิทยาลัยรามคำแหงถูกไล่ออกในเรื่องการเรียกร้องรัฐธรรมนูญ ท่านก็แสดงความเห็นผ่านบทความหนังสือพิมพ์ขอให้นักศึกษาต้องระมัดระวังการเคลื่อนไหว ไม่ให้ถูกฝ่ายผู้มีอำนาจรัฐเข้าปราบปราม ทั้งหมดนี้ก็เพราะท่านมีความเชื่อว่า นิสิตนักศึกษาจะต้องล้มตายมาก ถ้า "บุ่มบ่าม"ชุมนุมกันอย่างไม่ระมัดระวัง
ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์บอกว่า เหตุการณ์วันที่ 14 ตุลาคม 2516 น่าจะรุนแรงและเกิดความเสียหายคือน่าจะมีคนบาดเจ็บล้มตายมากกว่านั้น รวมถึงเหตุการณ์ก็คงจะยังยืดเยื้อและเป็นสงครามกลางเมืองได้ แต่ด้วยเหตุที่มี "ผู้หลักผู้ใหญ่"จำนวนหนึ่งพยายามหาทางแก้ไขและช่วยเหลือนิสิตนักศึกษา ภาพจึงปรากฏเห็น"พระมหากรุณาธิคุณ" เกิดขึ้น และนำมาซึ่งการสงบศึกในเย็นวันที่ 14 ตุลาคมนั้น
แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า หลังจากที่มีการสงบศึกแล้ว นิสิตนักศึกษายังคงดำเนินยุทธวิธี "รุกไล่" ฝ่ายทหารอยู่อย่างไม่ยั้งมือ พร้อมกับภาพลักษณ์ของกระบวนการนิสิตนักศึกษาก็ "เสื่อมทราม" ลงเรื่อยๆเพราะการที่ไม่เคารพกฎหมาย ก่อการประท้วงเต็มบ้านเต็มเมือง รวมถึงเข้าร่วมและสนับสนุนการประท้วงของกระบวนการคอมมิวนิสต์ในภูมิภาคต่างๆ ที่สุดทหารก็ "ปลุกผีคอมมิวนิสต์" ขึ้นมาทำลายขบวนการของนิสิตนักศึกษา จนประสบความสำเร็จและยึดอำนาจคืนได้ด้วยการทำรัฐประหารในวันที่ 6 ตุลาคม 2519
ประเด็นของท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ก็คือ ด้วยเหตุที่กลุ่มนิสิตนักศึกษา "ไม่ชอบคุยกับผู้ใหญ่" โดยรังเกียจว่านักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งในต้นปี 2518 นั้นเป็นพวก "นายทุนขุนศึก" แม้ว่าในการเลือกตั้งครั้งนั้นพรรคการเมืองในแนวสังคมนิยมจะชนะเลือกตั้งเข้ามาได้เป็นจำนวนพอสมควร แต่ก็ดูเหมือนจะ "ตั้งป้อม" คือมุ่งแต่จะเป็นฝ่ายที่ต่อต้านรัฐบาลไปในทุกเรื่อง ซึ่งในตอนนั้นท่านอาจารย์คึกฤทธิ์เป็นนายกรัฐมนตรีอยู่ โดยเมื่อมีปัญหาต่างๆเกิดขึ้น ท่านก็พยายามที่จะพูดคุยกับกลุ่มนิสิตนักศึกษา รวมทั้งกลุ่มประท้วงต่างๆแต่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้รับความร่วมมือและยังคงมีการก่อความวุ่นวายไม่สิ้นสุดดังที่ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ให้ภาพรวมของกระบวนการนิสิตนักศึกษาในยุคนั้นแบบสุภาพนิ่มนวลว่า "ใช้เสรีภาพเกินขอบเขต"
ผู้เขียนจึงนำมาเปรียบเทียบกับขบวนการของคนหนุ่มสาวในยุคนี้ ที่บางอย่างก็ยังดูคล้ายกันกับคนหนุ่มสาวในยุค 14 ตุลา16 และ 6 ตุลา 19 ที่ยังคง "มุทะลุดุดัน"เดินหน้า "ต่อต้านสังคม" อย่างดุเดือด โดยไม่พยายามที่จะหาช่องทางพูดคุย หรือดำเนินยุทธศาสตร์การเมืองที่ "สุขุมลุ่มลึก"ให้มากกว่านี้...”