หนทางของพรรคอนาคตใหม่บนถนนสายการเมือง แม้จะเป็นพรรคหน้าใหม่ แต่ก็สามารถแจ้งเกิดได้ในห้วงระยะเวลาอันสั้น ในการเลือกตั้งส.ส.เมื่อวันที่ 24 มี.ค.2562ที่ผ่านมา “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ”หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ นำทัพลงสนาม กวาดที่นั่งส.ส.เข้าสภาผู้แทนราษฎร มาได้ถึง 81 ที่นั่ง
แต่แล้วเส้นทาง บนถนนสายการเมืองมีอันต้องติดขัด ชะงักไปหลายครั้งหลายคราว อันเป็นผลพวงที่มาจาก “คดีความ” ซึ่งเกี่ยวพันกับตัวธนาธร ตลอดจน “มือกฎหมาย” ของพรรค อย่าง “ปิยบุตร แสงกนกกุล” เลขาธิการพรรค และ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ ต่างกรรม ต่างเวลา จนส่งผลให้คนของพรรคอนาคตใหม่ต้องลุ้นระทึกในชะตากรรมของหัวหน้าพรรคตัวเอง ไปจนถึง พรรคกันอยู่ตลอดเวลา
ทั้งการถูกกล่าวหาในคดีล้มล้างการปกครอง และกรณีที่ธนาธร ถูกร้องจากการถือครองหุ้นในธุรกิจสื่อ จนมาถึงคดีสำคัญที่ศาลรัฐธรรมนูญ นัดฟังคำวินิจฉัย วันนี้ 21 ก.พ. เวลา 15.00 น. ว่าพรรคอนาคตใหม่ และกรรมการบริหารพรรคทั้ง 15 คนจะมีความผิดกรณีที่พรรคกู้เงินจากธนาธร เป็นเงินทั้งสิ้น 191 ล้านบาทเพื่อใช้ในการหาเสียงเลือกตั้ง ที่ผ่านมาหรือไม่
แน่นอนว่าตลอดหลายวัน ก่อนหน้าที่ศาลรัฐธรรมนูญนัดชี้ชะตา คดีกู้เงิน191 ล้านบาทนั้น บรรดา “แกนนำ” ของพรรคตั้งแต่หัวขบวนไปจนถึงสมาชิกพรรคทั่วประเทศ แทบไม่มีใครได้หายใจ หายคอกันชนิดที่ปลอดโปร่งโล่งอก
โดยเฉพาะหากผลจากคำวินิจฉัย ออกมาในทางที่เป็นลบ มีคำสั่งให้ยุบพรรค เนื่องจากทำผิดกฎหมายพรรคการเมือง พ.ศ.2560จริงตามที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งยุบพรรค สิ่งที่เกิดขึ้นตามมา ย่อมไม่ใช่แค่ พรรคอนาคตใหม่ จะหายวับไปกับตาเท่านั้น หากแต่ แกนนำตัวหลัก โดยเฉพาะ “ธนาธร-ปิยบุตร” จะต้องจำใจเล่นเกม “นอกสภาฯ” ทันที
แม้ธนาธร จะย้ำอยู่หลายครั้ง หรือแม้แต่ครั้งล่าสุดก่อนวันที่ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยออกมา ว่าแม้พรรคอนาคตใหม่ถูกยุบก็จะไม่มีผลใดๆ เพราะพรรคอนาคตใหม่คือ “ผู้คน” และ “การเดินทาง” มีความแตกต่างไปจากพรรคการเมืองอื่นๆ ที่ยึดโยงกับพรรค และตัวบุคคล
นอกจากนี้ ประการสำคัญคือการที่ธนาธรเอง ก็รู้ดีว่าการออกไปโลดแล่น ถนนท้องถนน หากพรรคอนาคตใหม่ไม่มีส.ส.เหลืออยู่ในสภาฯ จริง โอกาสที่จะ “ต่อรอง” หรือ “กดดัน” รัฐบาลของ “บิ๊กตู่”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม จะยิ่งเป็นการยาก ห่างไกลความจริงออกไปมากขึ้นทุกที
สถานการณ์เช่นนี้ แม้แต่ตัวธนาธร ตลอดจนแกนนำในพรรคต่างกังวลกันมาโดยตลอด และยิ่งไปกว่านั้น แม้จะมีการเตรียม “แผนสอง” เอาไว้รองรับ ด้วยการตั้ง “พรรคใหม่” เพื่อเปิดให้ ส.ส.ที่เหลืออยู่ อีก65คนได้ย้ายเข้าไปสังกัด เพื่อป้องกันการ “แตกแถว” ส.ส.อนาคตใหม่ ถูกฝ่ายตรงข้ามดึงตัวไปเข้าสังกัด
แต่ใช่ว่าจะไม่เกิดโอกาสผิดพลาดหรือเป็นการ “เปิดหน้า” ให้ฝ่ายรัฐบาล อาศัยจังหวะนี้ สลายพรรคอนาคตใหม่ เมื่อถึงวันไร้หัว !
อย่างไรก็ดี ในความวุ่นวายและความอึมครึมตลอดหลายวันที่ผ่านมา พรรคอนาคตใหม่เองก็ยังมีความหวังว่า จะได้รับ “ข่าวดี” ว่าศาลรัฐธรรมนูญมีมติไม่ยุบพรรค เพราะหากรูปการออกมาเช่นนั้น พรรคอนาคตใหม่ จะกลับมาผงาด พลิกเกมกดดันฝ่ายรัฐบาลทันที ไม่ว่าจะทั้งในหรือนอกสภาฯ !