ในญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้านที่ยื่นต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร บรรจุชื่อรัฐมนตรีไว้ 6 คน ได้แก่ 1.พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม 2.พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี 3.นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี 4.พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย 5.นายดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และ 6.ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ แม้จะมีข่าวออกมาก่อนหน้านี้ว่า มีข้อเสนอในฝ่ายค้านให้อภิปรายพล.อ.ประยุทธ์เพียงคนเดียวด้วยซ้ำ เนื่องจากพล.อ.ประยุทธ์ เป็นศูนย์กลางในการบริหารนนโยบาย ที่สำคัญยังรับบทเป็นแม่ทัพทั้งด้านความมั่นคง และเศรษฐกิจ โดยจะเห็นได้ว่า ในญัตติของฝ่ายค้านไม่ได้บรรจุชื่อของรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีที่กำกับดูแลด้านเศรษฐกิจ นั่นก็เพราะหากย้อนกลับไปวันที่ 30 กรกฎาคม 2562 คณะรัฐมนตรีได้มีคำสั่ง แต่งตั้งคณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ โดยมีพลเอก ประยุทธ์ เป็นประธานกรรมการ การเข้ามานั่งเป็นประธานกำกับดูแลด้านเศรษฐกิจด้วยตนเอง ก็เนื่องมาจากการมีรองนายกรัฐมนตรีที่กำกับดูแลกระทรวงด้านเศรษฐกิจ จากพรรคแกนนำรัฐบาล คือ พรรคพลังประชานรัฐ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ และพรรคร่วมรัฐบาล คือพรรคประชาธิปัตย์ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ที่หากแต่งตั้งบุคคลใดบุคคลหนึงขึ้นเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจแล้ว ก็อาจจะเกิดปัญหาความขัดแย้งกันในการทำงาน แต่กระนั้นก็ยังหลีกเลี่ยงปัญหาดังกล่าวไม่ได้ ทั้งนี้ตอนหนึ่งในญัตติของฝ่ายค้านได้บรรยายพฤติการณ์ของนายกรัฐมนตรีเอาไว้ว่า “ไม่รักษาวินัยการเงินการคลัง ใช้งบประมาณของรัฐสร้างคะแนนนิยมให้กับตนเองและพรรคการเมืองโดยมิได้คำนึงถึงภาระด้านงบประมาณของประเทศเป็นยุคที่เงินกำลังจะหมดคลัง ไม่ยึดตามหลักการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี ลุแก่อำนาจ ขาดภาวะผู้นำ ไม่เสริมสร้างให้ทุกภาคส่วนในสังคมอยู่ร่วมกันอย่างเป็นธรรม ผาสุก และสามัคคีปรองดองกัน แต่กลับสร้างความขัดแย้งให้ขยายวงกว้าง ล้มเหลวและไร้ประสิทธิภาพในการดูแลด้านเศรษฐกิจส่งผลให้เกิดผลกระทบทางเศรษฐกิจกับประชาชนทุกภาคส่วนจนก่อให้เกิดสภาพ รวยกระจุก จนกระจายประชาชนสิ้นหวังให้ความสำคัญกำการซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์มากกว่าปัญหาเศรษฐกิจและปากท้องของประชาชน” ดังนั้น เป้าหมายในการอภิปรายจึงอยู่ที่พล.อ.ประยุทธ์เป็นหลัก ส่วนแผงอำนาจ 3 ป. ทั้ง พล.อ.ประวิตร และพล.อ.อนุพงษ์นั้นเป็นเป้ารอง โดยเฉพาะพล.อ.ประวิตรเดิมไม่มีชื่ออยู่ในบัญชีของฝ่ายค้าน หากแต่มีข่าวสะพัดออกมาถึงการตกลงกันในทางลับ ส่งผลให้ที่สุดก็ปรากฎชื่อของพล.อ.ประวิตรออกมา อย่างไรก็ตาม การกำหนดพล.อ.ประยุทธ์อยู่ในบัญชีนั้น เป็นการมุ่งโจมตีกล่องดวงใจของรัฐบาล และพรรคพลังประชารัฐ ที่ต้องจับตาว่า ฝ่ายค้านจะมีไม้เด็ดอะไรในการอภิปรายในครั้งนี้ ที่จะสามารถโค้นล้มพล.อ.ประยุทธ์ลงได้ เพราะหากลำพังการวิพากษ์วิจารณ์การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ จากมาตรการต่างๆที่ออกมาเป็นข่าวรายวันนั้น ก็ยังไม่อาจที่จะบ่อนเซาะ พล.อ.ประยุทธ์ให้พ้นไปจากเก้าอี้นากรัฐมนตรีได้ การยั่วยุด้วยวาทะต่างๆ ก็เป็นเพียงการฉายหนังม้วนเก่า ดังนั้นข้อมูลของฝ่ายค้านจึงเป็นสิ่งสำคัญว่าจะสามารถเปิด “จุดอ่อน” ของ “กล่องดวงใจ” ภายใต้กระดองแน่หนาของบรรดาองครักษ์ได้หรือไม่