ณรงค์ ใจหาญ การรักษาความปลอดภัยในการขับรถ หรือการใช้รถใช้ถนนในการจราจรทางบก จะต้องเป็นความร่วมมือกันหลายฝ่ายไม่ว่าจะเป็นผู้ขับขี่ทั้งที่เป็นฝ่ายประมาท และที่ไม่ประมาท ผู้ที่นั่งในรถนั้นเอง รวมถึงการที่เจ้าพนักงานจราจรหรือผู้ที่เกี่ยวข้องจะต้องร่วมมือกันในการสร้างมาตรการที่เหมาะสมและปลอดภัยในการป้องกันอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นได้ ในการใช้รถใช้ถนน ทั้งนี้เพราะจากสถิติที่ผ่านมา อุบัติเหตุเกิดขึ้นเพราะความประมาทของผู้ขับขี่ แต่ในขณะเดียวกัน ผู้โดยสารที่นั่งมาในรถก็ได้รับผลกระทบต่ออุบัติเหตุนั้นได้หากไม่มีเครื่องป้องกันอันตรายอันเกิดจากแรงเหวี่ยงของรถหรือการกระแทกเมื่อรถเสียหลัก พลิกคว่ำ หรือชนกันและทำให้ผู้โดยสารกระเด็นออกจากรถ เพราะไม่ได้คาดเข็มขัดนิรภัย หรือแม้กระทั่งเมื่อรถเสียหลัก ร่างกายของผู้โดยสารหรือผู้ขับจะไปกระแทกกับส่วนใดส่วนหนึ่งของรถได้และได้รับบาดเจ็บ ด้วยเหตุนี้เอง การรักษาความปลอดภัยในการจราจร จึงมีมาตรการป้องกันอันตรายที่จะเกิดแก่ผู้ขับและผู้โดยสาร โดยให้คาดเข็มขัดนิรภัยในขณะที่รถกำลังแล่นอยู่ ในขณะเดียวกัน ก็มีมาตรการในการควบคุมคนขับให้ขับได้ไม่เกินอัตราความเร็วที่กำหนด เพื่อป้องกันอันตรายที่จะเกิดขึ้นได้หากมีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้นในระหว่างขับรถ เป็นข้อที่น่าคิดว่า การที่รัฐออกกฎหมายเพื่อกำหนดไม่ให้ผู้ขับรถดื่มสุราหรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอร์ เกินปริมาณที่กำหนด หรือต้องคาดเข็มขัดนิรภัยทั้งผู้ขับ คนนั่งข้างหน้า และคนนั่งด้านหลังคนขับนั้น จะเป็นการก้าวล่วงเสรีภาพในร่างกายของประชาชนมากเกินไปหรือไม่ และหากพิจารณาดูแล้ว การดื่มสุรา แล้วเมา ก็จะมีผลต่อผู้อื่นที่ร่วมใช้ทางหลวง ซึ่งมองได้ว่าเป็นการป้องกันความปลอดภัยในการจราจรส่วนรวม แต่การที่ให้ผู้โดยสารต้องคาดเข็มขัดนิรภัย เห็นได้ชัดว่าไม่ได้มีผลกระทบต่อผู้อื่น แต่เป็นอันตรายอันอาจจะเกิดขึ้นได้จากการที่ผู้โดยสารที่ไม่คาดเข็มขัดนิรภัย และเป็นอันตรายที่เกิดขึ้นแก่ตัวผู้ขับที่ประมาทเองหรือเป็นอันตรายที่ผู้โดยสารได้รับจากการประมาทของผู้ขับขี่ การกำหนดโทษทางอาญาเป็นโทษปรับเพราะเหตุไม่คาดเข็มขัดนิรภัยตาม ที่กฎหมายกำหนด จึงเป็นการลงโทษผู้ที่ได้รับผลที่อาจเกิดขึ้นได้ จากการไม่คาดเข็มขัดนิรภัย ซึ่งไม่ได้เกิดจากการกระทำของตน กรณีนี้จึงมีผู้เห็นว่า น่าจะเป็นการใช้มาตรการทางอาญาที่ก้าวล่วงเสรีภาพของประชาชนเกินไป เพราะเป็นการลงโทษเพราะไม่ป้องกันตัว ทั้งๆที่ในบางกรณีการทำร้ายตัวเอง รัฐยังไม่ลงโทษในความผิดฐานทำร้ายร่างกายเพราะไม่ได้ทำร้ายผู้อื่น แนวนโยบายในการกำหนดโทษปรับทางอาญากรณีไม่คาดเข็มขัดนิรภัย จึงเป็นคนละเหตุผลกับการเมาแล้วขับเพราะกรณีไม่คาดเข็มขัดเป็นการลงโทษเพื่อให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่จะป้องกันความปลอดภัยให้แก่ตัวเอง มาตรการเช่นนี้น่าจะเป็นมาตรการทางปกครองมากกว่าทางอาญา แต่อาจเป็นการปรับหรือการจัดให้มีการอบรมเพื่อให้ตระหนักรู้ถึงภัยที่จะเกิดขึ้นแทนที่จะเป็นการบังคับด้วยมาตรการทางอาญา อันมีผลต่อการที่เจ้าพนักงานจราจรต้องมีภารกิจเพิ่มขึ้นในการตรวจจับ และลงโทษ มาตรการในการปรับทางอาญานี้จึงอาจทำให้เห็นว่าเป็นการก้าวล่วงสิทธิในการชีวิตของประชาชนเกินไป แต่ในทางตรงกันข้าม การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมนี้ หากไม่ใช้มาตรการบังคับทางอาญา ก็จะไม่มีผู้ใดปฏิบัติตามเพราะคนส่วนใหญ่มีความไม่เคยชินต่อการใช้เข็มขัดนิรภัย และรู้สึกอึดอัดที่ต้องใช้ในระหว่างการเดินทาง ซึ่งในประเด็นนี้ มีทางเลือกได้สองทางคือ ทางแรก สร้างความเข้าใจแก่ประชาชนถึงอันตรายที่เกิดขึ้นก่อน แล้วจึงใช้มาตรการทางปกครองเข้ามาดำเนินการ นส่วนกรณีที่สอง คือ ใช้มาตรการบังคับให้ปฏิบัติ ใช้มาตรการปรับทางอาญา เข้ามาบังคับในทันที ซึ่งมาตรการที่หนึ่งก่อให้เกิดผลเป็นรูปธรรมช้า เพราะต้องสร้างจิตสำนึกและความตระหนักในวงกว้าง และรอการยอมรับ ส่วนในกรณีที่สอง ทำได้เร็วเพราะคนกลัวโทษปรับ แต่สิ่งที่ตามมาคือ จะบังคับใช้กฎหมายอย่างไรที่จะเสมอภาคและเป็นธรรม เพราะรถที่ใช้ในการขับขี่มีสภาพที่ไม่ได้กำหนดให้มีเข็มขัดนิรภัยทุกคัน โดยเฉพาะรถที่จดทะเบียนก่อนปี 2531 เป็นต้น ความลักลั่นในการบังคับใช้กฎหมายจึงเกิดขึ้นได้ และก่อให้เกิดความสับสนและไม่แน่ใจ รวมถึงการเลือกปฏิบัติตามมา อย่างไรก็ดี การดำเนินการเพื่อรักษาความปลอดภัยจราจรตามที่ดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน เป็นมาตรการที่ควรได้รับการสนับสนุน และถือเป็นเจตนาที่ดีของผู้ออกกฎหมายและผู้บังคับให้เป็นไปตามกฎหมายเพื่อรักษาชีวิต ทรัพย์สิน ของผู้ร่วมใช้รถใช้ถนนด้วยกัน แต่สิ่งที่สำคัญนอกเหนือจากการปฏิบัติตามกฎจราจร หรือตามกฎหมายที่กำหนดคือ ความตระหนักของผู้ที่เกี่ยวข้อง เพราะ จะต้องรณรงค์ ให้ผู้ขับขี่ ขับรถด้วยความมีสติ นอกจากการที่จะไม่ดื่มสุราแล้ว การเคารพกฎจราจร การขับด้วยสติ ไม่เล่นเกมส์หรือขับรถด้วยความประมาท คำนึงถึงผู้โดยสารเป็นสำคัญ รักษาสภาพรถให้สมบูรณ์ หมั่นตรวจสภาพรถ ถือเป็นแนวทางในการที่ผู้ขับขี่ต้องปฏิบัติควบคู่กันไป ในขณะที่ การทำความเข้าใจกับผู้โดยสารถึงอันตรายที่ไม่คาดเข็มขัดนิรภัย ว่ามีอย่างไร โดยนำเสนอสถิติของผู้ที่ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต ถึงร้อยละ 70 เมื่อเกิดอุบัติเหตุแล้วไม่คาดเข็มขัดนิรภัยแล้วไม่คาดเข็มขัดนิรภัยแล้วไม่คาดเข็มขัดนิรภัยแล้วไม่คาดเข็มขัดนิรภัยแล้วไม่คาดเข็มขัดนิรภัยแล้วไม่คาดเข็มขัดนิรภัยแล้วไม่คาดเข็มขัดนิรภัย ซึ่งสื่อมวลชนได้รณรงค์อยู่ในขณะนี้ ก็เป็นแนวทางที่ดีที่จะทำให้เกิดความตระหนักรู้และเกิดความกลัวหันมาคาดเข็มขัดเอง ข้อห่วงใย อีกประการคือ รถที่ไม่มีเข็มขัดนิรภัยจะต้องดำเนินการติดตั้งอย่างไร จึงจะถูกต้องตามกฎหมายเพราะถนนบางสายเช่นทางด่วน มีข้อกำจัดว่าผู้ขับขี่และผู้โดยสารต้องคาดเข็มขัดนิรภัย กรณีนี้ จึงเป็นหน้าที่ของเจ้าพนักงานที่เกี่ยวข้องที่จะต้องสร้างความเข้าใจกับผู้ใช้รถ และผู้โดยสาร เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องและปฏิบัติตามกฎหมายต่อไป แนวทางการบังคับให้เป็นไปตามกฎหมายจราจรทางบก กฎหมายรถยนต์ ถือเป็นเรื่องที่ดีเพราะเป็นกฎหมายที่มุ่งคุ้มครองความปลอดภัยสาธารณะ การมีรถที่มีสภาพสมบูรณ์มาใช้ในถนน การมีผู้ขับที่มีคุณภาพ และมีสติในการขับขี่ ตลอดจนมีความระมัดระวังในการขับขี่ ถือเป็นเรื่องที่ทุกคนคาดหวังในการที่จะร่วมใช้ทางจราจรด้วยกัน เพราะจะได้ไม่ต้องระมัดระวังผู้ขับขี่ที่ขับอย่างเสี่ยงภัยมาร่วมใช้ทางด้วย เพราะนอกจากต้องระวังการขับรถของตนแล้ว ยังต้องระวังผู้อื่นที่ขับโดยประมาทด้วย กระบวนการตรวจสอบเหล่านี้ ควรให้องค์กรเอกชนที่รับผิดชอบต่อรถขนส่งสาธารณะได้ย้ำเตือนและตรวจสอบการปฏิบัติงาน คุณสมบัติของผู้ขับขี่ ควบคู่กับพนักงานจราจร ที่คอยให้บริการหรืออำนวยความสะดวกในการจราจร มิฉะนั้นแล้วจะเกิดความเสี่ยงมากสำหรับกรณีที่พนักงานจราจรไม่ได้ตรวจจับ แต่คนขับเหล่านั้น ขับขี่ด้วยความเร็วสูง หรือไม่คาดเข็มขัดนิรภัย ตลอดเวลา แต่จะคาดเมื่อต้องผ่านด่านหรือเมื่อจะถูกตรวจ ความเสี่ยงที่จะเกิดอันตรายจึงมีอยู่แม้จะมีกฎหมายห้ามแล้วก็ตาม โดยสรุป ปัญหาอันตรายจากการจราจร อันเนื่องมาจากการใช้รถใช้ถนน ที่เกิดจากความประมาทหรือฝ่าฝืนกฎจราจร จนนำไปสู่มาตรการป้องกันอันตรายที่บังคับให้ผู้ขับขี่และผู้โดยสารต้องคาดเข็มขัดนิรภัยนั้น เป็นมาตรการแก้ในปลายเหตุ ทั้งนี้ แม้จะมีการตรวจจับอย่างเข้มงวด ก็ไม่ได้เป็นหลักประกันว่า คนที่คาดเข็มขัดนิรภัยจะปลอดภัย แต่เป็นการเพิ่มความเสี่ยงที่จะได้รับอันตรายในระดับหนึ่ง แต่การป้องกันอันตรายที่เกิดขึ้น ควรเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพในการคัดกรองคนขับรถที่ต้องมีคุณสมบัติที่ครบถ้วน มีใบอนุญาตขับขี่ ได้รับการอบรม และตรวจสอบถึงสมรรถนะของการขับขี่ พฤติกรรมในการขับขี่ที่ไม่ขับขี่ในลักษณะที่ฝ่าฝืนกฎหมายหรือเสี่ยงอันตราย รวมถึงการบังคับทางปกครองในการยึดใบอนุญาตขับขี่หรือพักใช้ใบอนุญาตที่เข้มงวดมากขึ้น เพราะสาเหตุของอุบัติเหตุเกิดจากการขับขี่ที่ประมาทหรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมายจราจร การขับขี่ด้วยสติ มีความระมัดระวัง คำนึงถึงอันตรายที่จะเกิดขึ้น จึงมีส่วนสำคัญและต้องมีอยู่ในผู้ขับขี่ทุกคน ซึ่งมาตรการเหล่านี้ที่จะทำได้ต้องมีกลไกทางบริหารมากกว่าการบังคับใช้มาตรการทางอาญาที่ตรวจจับ ส่วนการสร้างความตระหนักให้แก่ประชาชนถึงภยันตรายในการไม่คาดเข็มขัดนิรภัย เป็นมาตรการที่คงต้องรณรงค์อย่างต่อเนื่องเพื่อให้ประชาชนตระหนัก และยอมรับว่าเป็นการป้องกันตนเอง เมื่อประชาชนตระหนัก การคาดเข็มขัดนิรภัยก็สามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องใช้กฎหมายมาบังคับในระยะยาว เพราะทุกๆคนไม่อยากเสี่ยงที่จะได้รับอันตรายเมื่อเกิดภัยขึ้นระหว่างการเดินทา