สถาพร ศรีสัจจัง บางใครในวงสภากาแฟแถบเมืองชายแดนภาคใต้เล่าขึ้นเสียงดังๆ จับความได้ว่า เมื่อครั้งเขาติดตามคณะนักวิจัยไปเก็บข้อมูลเรื่อง “คนไทยในมาเลเซีย” (ที่ทางการมาเลเซียเรียก “โอรัง เซียม” นั่นไง)ที่รัฐเคดะห์ และรัฐกลันตัน(ซึ่งเป็นแผ่นดินที่เคยเป็นของรัฐไทยมาก่อน เพิ่งมีเหตุต้องยกให้อังกฤษไปช่วงปลายๆรัชสมัยล้นเกล้ารัชกาลที่ 5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อสักร้อยกว่าปีนิดๆมานี่เอง) เขาได้พบกับ “ปากคำ” ของคนไทยที่นั่นที่น่าตกใจมากประการหนึ่ง คำตอบเกี่ยว “สำนึกความเป็นไทย” ของตัวแทนกลุ่มคน “โอรัง เซียม” (ที่มีอยู่ไม่น้อยกว่า 5-6 หมื่นคน)ในมาเลเซียครั้งนั้นพบว่า ทุกคนคิดว่าตัวเองเป็นคนไทย รักความเป็นไทย และทุกครั้งที่นักกีฬาไทยลงแข่งที่ไหนในโลก(แม้แต่ในมาเลเซีย)เขาก็เชียร์ทีมไทยแบบสุดจิตสุดใจ แต่เมื่อถูกถามว่า ถ้าทางรัฐบาลไทยจะจัดที่อยู่อาศัยหรือคืนสิทธิ์การเป็นพลเมืองไทยให้ จะกลับมาอยู่เมืองไทยหรือไม่? คำตอบที่ได้รับคือ “ไม่กลับ”!! ครั้นถามถึงเหตุผลว่า รักความเป็นไทยขนาดนั้นแล้ว เมื่อเขาให้สิทธิ์กลับไประเทศตัวเองทำไมจึงไม่ยอมกลับเล่า ก็ได้รับคำตอบอย่างชัดเจนฉะฉานว่า เพราะเมืองไทยไม่มีความยุติธรรม! กฎหมายไม่เป็น-กฎหมายเพราะผู้ปฏิบัติรับผลประโยชน์และกลัวอิทธิพลคนรวย คนรวยทำอะไรไม่ผิด แถมยกตัวอย่างเป็นรูปธรรมว่า เช่น ถ้าคนรวยหรือคนมีอำนาจขับรถชนคนตายที่เมืองไทยก็ไม่มีทางติดคุก เพราะขบวนการยุติธรรมไทยมีขั้นตอนละเอียดซับซ้อน วิ่งเต้นกันจนหลุดคดีได้แน่นอน คนรวยที่ขับรถประมาทชนคนตายอาจไม่ต้องไปพบตำรวจหรืออัยการเลยก็ยังได้ ประกันก็ง่าย เห็นไม่ดีก็หลบเสพสุขอยู่เมืองนอกเสียเลย แอบติดต่อหรือแอบเข้ามาเมืองไทยเมื่อไหร่ก็ได้ ตำรวจทุกประเภทในเมืองไทยลืมเร็ว ทั้งยังมีวินัยพร้อมปิดปากเงียบตามผู้มีอำนาจสั่งได้เสมอ ฯลฯ สารพันที่ชาวบ้านซึ่งเป็นคนไทยในมาเลเซียที่ถูกถามจะพรั่งพรูความคับแค้นใจกันออกมา หลังจากอภิปรายเรื่องความเห็นของคนไทยในมาเลเซียเรื่อง “กระบวนการยุติธรรมในประเทศไทย” เสียพอแรงแล้ว สมาชิกวงสภากาแฟรายนั้นก็ทุบโต๊ะเพื่อกำกับความมั่นใจในคำพูดที่ตามมาว่า “พนันกันไหมว่า คดีขับรถชนตำรวจตายของบอส ทายาทกระทิงแดง ที่ห้าปีแล้วเรื่องยังไปไม่ถึงไหนจนบางข้อหาหมดอายุความไปแล้วนั่นนะ จะไม่มีใครสามารถเอาผิดเขาได้แน่นอน เพราะพ่อเขารวยมหาศาล! เหมือนที่พี่น้องไทยในมาเลเซียเคยพิพากษาไว้แล้วนั่นไง! การใช้ชีวิตอย่างสุขสำราญบานตะไทในรอบห้าปีที่ผ่านมาของเขาก็ยืนยันว่าเรื่องนี้มันขี้ปะติ๋ว ไม่อยู่ในความสนใจเขาหรอก ตำรวจเล็กๆตายแค่คนเดียว จะเอาอะไรกันนักหนา!”  บางใครในโต๊ะที่เป็นขาเชียร์'ท่านผู้นำประเทศปัจจุบัน'แบบสุดจิตสุดใจเปรยเสียงขึ้นมาขัดแบบไม่มั่นใจนักว่า “แต่นี่มันยุคนายกฯลุงตู่นะเว้ย!!” อีกบางใครที่นั่งอยู่อีกบางมุม ประสานความเห็นขึ้นร่วมว่า เรื่องทายาทกระทิงแดงขับรถชนตำรวจตายเมื่อ 5 ปีก่อน ที่สำนักข่าวดังของโลกอย่าง เอ.พี.เอาไปใส่สีตีข่าววิเคราะห์เสียจนทั้งตำรวจทั้งอัยการไทยเบะตุ้มเป้ะไปทั้งโลกนั่นนะ ท่านนายกฯลุงตู่ไม่สนใจหรอก เรื่องไร้สาระแบบนั้นจะไปแย่งเวลาเรื่องความปรองดองแห่งชาติหรือเรื่องใหญ่ๆอย่างเรื่องพลังงาน เรื่องการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน เรื่องการขุดคลองไทย ฯลฯได้ยังไง ... ขณะที่สมาชิกสาวเพียงรายเดียวของสภากาแฟแห่งนั้นที่โดยปกติได้แต่นั่งรับฟังเฉยๆเสมอมาร่วมแสดงความเห็นขึ้นด้วย จับความได้ทำนองว่า(จนหลายใครหันมารุมจ้องอย่างสนใจ) สำนักข่าว เอ.พี.เขาสรุปไว้ให้นายกฯลุงตู่แล้วว่า... ความเฉื่อยชา(ห้าปีที่ไปไม่ถึงไหน)ในคดีนี้ นับเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดที่สะท้อนถึงสิทธิพิเศษสำหรับชนชั้นมั่งคั่งในสังคมไทย สังคมที่ต้องเผชิญกับความวุ่นวายทางการเมืองและต่อสู้กับหลักนิติธรรมมาหลายทศวรรษ...ปัญหาก็อยู่ตรงที่ว่าตอนนี้นายกฯลุงตู่เราจะหูอื้อแค่ไหนหรือไม่เท่านั้นเอง... สรุปตอนนี้ก็คือ เรื่องนี้ยังไม่จบ!!!!