นาทีนี้ สิ่งสำคัญเหนืออื่นใด สำหรับรัฐบาล และโดยเฉพาะอย่างยิ่งตัว “บิ๊กตู่”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม คือการเร่งสร้างความมั่นใจ เรียกความเชื่อมั่นให้กลับมาคืนมาโดยด่วน เพื่อย้ำให้ผู้คนในสังคมได้ประจักษ์ว่า รัฐบาลสามารถรับมือกับ “สถานการณ์” การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่ ได้อย่างจริงจัง รวมทั้งยังต้องเร่งใช้เกมรุกด้านข้อมูลข่าวสาร ให้เกิดความฉับไว ทั้งการให้ข้อมูล ไปพร้อมๆกับการตอบโต้ หักล้างการปล่อยข่าว ให้ข้อมูลไม่เป็นจริง จนสร้างความปั่นป่วนขึ้นในสังคม การเดินทางไปตรวจเยี่ยมการปฏิบัติงานด่านควบคุมโรคท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ของพล.อ.ประยุทธ์ เมื่อวันที่ 29 ม.ค. ที่ผ่านมา ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โดยมี อนุทิน ชาญวีรกูร รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.สาธารณสุข และ ศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม ผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ รอให้การต้อนรับ ความมั่นใจต่อการบริหารงานของรัฐบาลในท่ามกลางสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตผู้คน ขณะเดียวกันยังเป็นเรื่องที่เกี่ยวพันกับต่างประเทศ เมื่อประเทศจีนเป็นต้นทางของการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสอู่ฮั่น จึงทำให้รัฐบาลไทยเองต้องเดินหน้าแก้ไขปัญหา ทั้งด้านภายในประเทศเพื่อป้องกันการแพร่ระบาด จากนักท่องเที่ยวที่มาจากประเทศจีน โดยเฉพาะจากเมืองอู่ฮั่น ซึ่งเป็นเมืองต้นทางของเชื้อไวรัสโคโรนา แต่ถึงกระนั้นปฏิเสธไม่ได้ว่า เสียงเรียกร้อง ที่จะให้รัฐบาลเร่งประสานกับทางการจีนเพื่อหาทางนำคนไทยที่ยังติดอยู่ที่จีน จำนวน 65 ราย รวมทั้งในเมืองอู่ฮั่น คือแรงกดดันที่สะท้อนผ่าน “คำถาม” ไปยัง พล.อ.ประยุทธ์ ในห้วงหลายวันที่ผ่านมา นับตั้งแต่มีความชัดเจนว่าเกิดไวรัสโคโรนาระบาดจากเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน ล่าสุด พล.อ.ประยุทธ์ ได้ให้ความชัดเจนผ่านสื่อว่า ฝ่ายไทยกำลังรอให้ประเทศจีนอนุญาต โดยได้เตรียมเครื่องบินพาณิชย์เอาไว้พร้อมแล้ว สำหรับการบินไปรับ 65 คนไทยกลับจากจีน รวมทั้งยังเตรียมทีมแพทย์ไปตรวจคัดกรองก่อนที่จะ65 คนไทยจะกลับเข้ามาด้วย เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาตามมา การบ้านข้อยาก และมีความสำคัญ ยิ่งต่อรัฐบาลและตัวพล.อ.ประยุทธ์ ในยามนี้ แน่นอนว่าย่อมไม่มีเรื่องไหนสำคัญไปกว่าการแก้ไขสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสอู่ฮั่น ให้สำเร็จทั้งการควบคุม การสกัดกั้น ไปจนถึงการเปิดเผยความคืบหน้าการรักษานักท่องเที่ยวชาวจีนที่ป่วยและเข้ารับการรักษาตัวในประเทศ เพราะไม่เช่นนั้นแล้ว การทำงานของรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จะต้องถูกนำไปเปรียบเทียบกับ “รัฐบาลทักษิณ” เมื่อคราวที่ ทักษิณ ชินวัตร นั่งเป็นนายกฯ แล้วต้องเผชิญหน้ากับการแพร่ระบาดของไข้หวัดนกสายพันธุ์ H5N1 ในระหว่างปี 2546-2547 และหากย้อนกลับไปในเวลานั้นใช่ว่า อดีตนายกฯทักษิณ จะไม่เจอแรงกดดัน ที่ถาโถมเข้ามาเช่นกัน ว่ารัฐบาลปิดบังข้อมูลข่าวสาร รวมทั้งรัฐมนตรีทุกกระทรวงที่รับผิดชอบต่างต้องออกมาแสดงแอคชั่นเพื่อเรียกความเชื่อมั่นกันยกใหญ่ ในปีนั้น รัฐบาลทักษิณเองก็ต้องรับมือกับปัญหาการเมืองที่ลุกลามไปยังเรื่องไข้หวัดนก เช่นเดียวกันกับสถานการณ์ที่รัฐบาลของพล.อ.ประยุทธ์ กำลังเผชิญอยู่ นั่นคือการที่การแก้ไขการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา กำลังถูกโยงด้วยการเมือง ทั้งในและต่างประเทศ แต่ที่น่าวิตกไปมากกว่านั้นคือในยุค 5G คือการที่รัฐบาลต้องรบรากับ “เฟคนิวส์” ซึ่งว่ากันว่ายิ่งทำให้การทำงานของรัฐบาลยากลำบาก อีกหลายเท่านัก !