วันที่ 26 มกราคม นายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีสาธารณรัฐประชาชนจีน ประกาศภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขในระดับสูงสุด เพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดของเชื้อโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ (Novel Coronavirus : 2019-nCoV)
โดย นายสีจิ้นผิง ระบุว่า จีนกำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ร้ายแรง จากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ จึงจำเป็นที่คณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนต้องทำงานกันอย่างเข้มแข็ง และรวมเป็นหนึ่งเดียว ในการรับมือกับการแพร่ระบาดข้างต้น
ขณะที่รัฐบาลไทยได้ตั้งคณะกรรมการบริหารจัดการกับสถานการณ์การแพร่ระบาด และจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการด้านข้อมูลข่าวสาร โดยกระทรวงสาธารณสุข ในการวางมาตรการป้องกันและควบคุมระดับที่มีความเข้มข้นสูงสุด และแก้ไขปัญหาความสับสนของข้อมูลข่าวสาร
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลเมื่อวันที่ 26 มกราคม กรมควบคุมโรค ได้รายงานสถานการณ์โรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 โดย ตั้งแต่วันที่ 3 – 25 มกราคม 2563 กรมควบคุมโรค ได้ดำเนินการเฝ้าระวังคัดกรองผู้โดยสารเครื่องบินในเส้นทางที่บินตรงมาจากเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ, ท่าอากาศยานดอนเมือง, ท่าอากาศยานเชียงใหม่, ท่าอากาศยานภูเก็ต และท่าอากาศยานกระบี่ (เริ่มคัดกรองวันที่ 17 มกราคม 2563) จำนวน 137 เที่ยวบิน ผู้เดินทางและลูกเรือได้รับการคัดกรอง ทั้งสิ้น 21,522 ราย และวันที่ 25 มกราคม 2563 คัดกรองผู้โดยสารจากสายการบินของกว่างโจว 5 เที่ยวบิน ผู้เดินทางและลูกเรือได้รับการคัดกรอง จำนวน 775 ราย โดยพบผู้ป่วยอาการเข้าได้ตามนิยามเพิ่มขึ้น จำนวน 24 ราย ทำให้รวมพบผู้ป่วยที่มีอาการเข้าได้ตามนิยามทั้งหมด 84 ราย โดย 24 ราย คัดกรองได้ที่สนามบิน
นอกจากนี้มีผู้ป่วยที่มีอาการเข้าตามนิยามไปรับการตรวจรักษาที่ โรงพยาบาลเอกชน 38 ราย โรงพยาบาลรัฐ 14 ราย และสถาบันบำราศนราดูร 7 ราย รวมทั้งมีโรงแรมรายงาน ผู้ป่วย 1 ราย และในจำนวนนี้ได้พักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลรัฐ 19 ราย (นครปฐม กรุงเทพฯ เชียงใหม่ ภูเก็ต ชลบุรี และนครสวรรค์) สถาบันบำราศนราดูร 11 ราย และโรงพยาบาลเอกชน 9 ราย รวม 39 ราย ไม่พบผู้ป่วยอาการรุนแรง ผู้ป่วยอาการดีขึ้นและได้กลับบ้านแล้วจำนวน 45 ราย พบผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อ Novel Coronavirus 2019 จำนวน 5 ราย ส่วนผู้ป่วยรายอื่นที่ทราบเชื้อที่เป็นสาเหตุ และได้รับการวินิจฉัยสุดท้าย ประกอบด้วย Influenza A 11 ราย, Influenza B 10 ราย, Influenza C 1ราย, Adenovirus 1ราย, Coronavirus OC43 1 ราย,Streptococcuspneumoniae 1 ราย, Bronchitis 4 ราย, Acute Nasopharyngitis 2 ราย, Pharyngitis 2 ราย, Common cold 1 ราย, RSV infection 3 ราย และรอผลตรวจวินิจฉัยทางห้องปฏิบัติการ 42 ราย
เราเห็นว่า รัฐบาลเพิ่งจะเผชิญกับวิกฤติฝุ่นพิษ PM2.5 ที่ยังไม่คลี่คลาย ก็ต้องเผชิญกับไวรัสสายพันธุ์ใหม่ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น รัฐบาลต้องขับเคลื่อนกลไกต่าๆของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้ นอกจากเข้มงวดกับการเฝ้าระวังแล้ว การป้องกันและรักษา รวมทั้งเตรียมความพร้อมรองรับหากเกิดสถานการณ์เลงร้ายที่สุดเอาไว้ด้วยก็ไม่เป็นการเสียหาย เพราะในสถานการณ์ที่เปราะบาง ท่ามกลาวข่าวลวง ข่าวลือที่ยากจะควบคุมนี้ อาจเกิดความเข้าใจสับสนและนำไปสู่ความโกลาหลได้ ก็จะกลายเป็นวิกฤติซ้อนวิกฤติ