ความเคลื่อนไหวเกิดขึ้นในทุกแนวรบของ "พรรคร่วมรัฐบาล" ในห้วงเวลาเพียงไม่กี่วัน เมื่อปมประเด็นที่ว่าด้วยกรณีที่มีส.ส.ดำเนินการเสียบบัตรแทนกันในการโหวตลงคะแนน เกิดขึ้นจนปรากฎให้เป็นหลักฐาน ฟ้องออกมาสู่สาธารณชน ยิ่งเมื่อ "ทุกตัวละคร" ที่ถูกเชื่อมโยงกับเหตุการณ์เสียบบัตรแทนกัน ล้วนแล้วแต่เป็นส.ส.ที่อยู่ในปีกพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกันทั้งสิ้น แถมที่น่าวิตกไปกว่านั้น คนที่ออกมาเปิดเผย เปิดโปง ก็ยังเป็นคนของพรรคประชาธิปัตย์ พรรคร่วมรัฐบาลอันดับที่ 2 เสียเอง คือ "นิพิฎฐ์ อินทรสมบัติ" อดีตส.ส.พัทลุง ที่เปิดปมออกมาให้ข้อมูลว่ามีส.ส.ของพรรคภูมิใจไทยด้วยกันถึง2 ราย คือ "นาที รัชกิจประการ" ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคภูมิใจไทย และ "ฉลอง เทอดวีระพงศ์" ส.ส.พัทลุง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการพิจารณาผ่านร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ? พ.ศ.2563 ว่าจะเข้าข่ายขัดต่อกฎหมายหรือไม่ ล่าสุด "ชวน หลีกภัย" ประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้ให้สัมภาษณ์ว่าเตรียมนำเรื่องที่มีส.ส.เข้าชื่อร้องให้ตรวจสอบ เพื่อส่งไปยังศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยออกมา แน่นอนว่าผลจากการกระทำที่เกิดขึ้นของส.ส.พรรคภูมิใจไทย โดยมีคนของพรรคประชาธิปัตย์ เป็นคนเปิดโปง ย่อมไม่ได้จบลงเพียงแค่การบอกเล่าผ่านสื่อเท่านั้น หากแต่ผลจากการนี้ยังได้ถูกขยายไปยังการชี้ขาดของศาลรัฐธรรมนูญ ให้ชี้ว่าร่างกฎหมายการเงิน ฉบับแรกในรัฐบาล "บิ๊กตู่"พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม นั้นจะสามารถ "เดินหน้า" ได้ต่อไป หรือมีอันต้องสะดุดหยุดลง ! ล่าสุด ปัญหาการเสียบบัตรแทนกันยังไม่จบ เมื่อพบว่า "ภริม พูลเจริญ" ส.ส.สมุทรปราการ พรรคพลังประชารัฐ คือหนึ่งในส.ส.ที่ร่วมปรากฎในคลิปข่าวในสื่อมวลชนว่าได้กดบัตรลงคะแทนส.ส.คนอื่นในระหว่างที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรพิจารรณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณพ.ศ.2563 ที่ผ่านมา โดยเจ้าตัวออกมาแถลงข่าวยอมรับว่าได้ทำจริง ลำพังการเปิดศึกระหว่าง พรรคประชาธิปัตย์กับพรรคภูมิใจไทย ก็นับว่าวุ่นวายมากพออยู่แล้ว ล่าสุดยังกลายเป็นว่า คนของพรรคพลังประชารัฐ ยังทำผิดเสียเอง งานนี้คนที่ถึงกับต้อง "ส่ายหัว" ออกอาการหนักใจ จึงไม่พ้น พล.อ.ประยุทธ์ "สิ่งที่น่าจะมาถามผมวันนี้ คือจะแก้ไขอย่างไร ซึ่งผมก็ต้องไปดูและหารือกับกระทรวงการคลัง และคุยกับสำนักงบประมาณ ว่าจะทำอย่างไร เพราะเท่าที่ทราบขณะนี้มีการส่งเรื่องร้องเรียนไปยังศาลรัฐธรรมนูญแล้ว ก็ต้องหารือกันอีกครั้งว่า เราจะแก้ไขในส่วนของการบริหารราชการอย่างไร ในส่วนของงบบุคลากร คงไม่มีปัญหามากนัก แต่จะมีปัญหาในเรื่องของงบลงทุน ซึ่งมีจำนวนหลายแสนล้านบาท ถ้าทำไม่ได้จะส่งผลให้เศรษฐกิจของเราไม่ดีขึ้นมากนัก ก็ต้องหามาตรการอื่นเข้ามาเสริมเป็นจำนวนมาก แต่ถ้าไม่มีเงินลงไป มันก็เดือดร้อนกันทั้งหมด แต่ผมก็เคารพในกติกาในกฎหมายทุกฉบับ เรื่องนี้ก็ขอให้ติดตามกันต่อไป"(23ม.ค.63) ผลกระทบที่เกิดขึ้นจึงปรากฎออกมาอย่างที่เห็นด้วยกันในหลายทาง ! ทางแรก คือร่างพ.ร.บ.งบประมาณฯ 2563 มีอันต้องสะดุด ยังไม่สามารถนำขึ้นทูลเกล้าฯได้เพราะร่างกฎหมายยังติดปัญหา ทางที่สอง คือการที่การใช้จ่ายเงินงบประมาณ 2563 จะต้องล่าช้าออกไป จนอาจจะกระทบต่องบลงทุน และทางสุดท้าย คือ "ความขัดแย้ง" ภายในพรรคร่วมรัฐบาล ที่กำลังจะเปิดศึกถล่มกันเอง โดยที่ "พรรคฝ่ายค้าน" โดยที่ไม่ต้องออกแรง !