วันนี้ที่หลายคนเฝ้ารอคอย ลุ้นระทึกกันมาตั้งแต่เมื่อปลายปีที่แล้ว ว่าท้ายที่สุด “พรรคอนาคตใหม่” จะได้ไปต่อ หรือ ถูกยุบพรรคเมื่อศาลรัฐธรรมนูญ นัดอ่านคำวินิจฉัยคดีล้มล้างการปกครอง ในเวลา 11.30 น. ! สำหรับคดีดังกล่าว สืบเนื่องมาจากการที่ “ณฐพร โตประยูร” อดีตที่ปรึกษาประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน ยื่นคำร้องกล่าวหาพรรคอนาคตใหม่ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรค ,ปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรค และ “คณะกรรมการบริหารพรรค” ทั้งคณะว่า ล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขโดยคำร้องดังกล่าวขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 นอกจากนี้ผู้ร้อง ยังขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยุบพรรคอนาคตใหม่ และเพิกถอนสิทธิการเลือกตั้งของธนาธร ,ปิยบุตร และกรรมการบริหารพรรคด้วย โดยอ้างถึง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 มาตรา 92 (1) (2) ว่าด้วยพรรคการเมือง กระทำการตามวรรคหนึ่งให้ศาลรัฐธรรมนูญ สั่งยุบพรรคการเมือง และเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของคณะกรรมการบริหารพรรคการเมือง คดีล้มล้างการปกครองที่กลายเป็นเชือกรัดคอ “แกนนำ”พรรคอนาคตใหม่นั้นไม่เพียงแต่จะมีผลกระทบต่อ อนาคตทางการเมืองของพรรคเท่านั้น หากแต่ยังจะส่งผลต่อไปยัง “ พรรคร่วมฝ่ายค้าน” ที่กำลังเดินหน้าเตรียมการยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ เพราะ “กำลัง” ของพรรคร่วมฝ่ายค้านจะถูกลดทอนลงไปโดยปริยาย พรรคอนาคตใหม่ คงไม่มีหัวจิตหัวใจ มาเตรียมการชำแหละรัฐบาลกลางสภาฯ เนื่องจากส.ส.ของพรรคจะต้องเร่งหา “ที่อยู่ใหม่” ทั้งนี้หากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญออกมาในทางที่เป็น “คุณ” ต่อพรรคอนาคตใหม่ ในคดีล้มล้างการปกครอง ก็ต้องพิจารณาต่อไปอีกว่า คำวินิจฉัยจากศาลรัฐธรรมนูญว่า แม้จะไม่ถึงขั้น “ยุบพรรค” ตามที่พรรคอนาคตใหม่ ตั้งความหวังเอาไว้ก็ตาม ทว่าศาลจะมี “คำสั่ง”อย่างใด อย่างหนึ่งออกมาด้วยหรือไม่ แต่หากในทางที่เป็น “โทษ” อย่างที่สุดคือการสั่งให้ถึงขั้นมีอันต้องยุบพรรค ก็ใช่ว่าพรรคอนาคตใหม่จะไม่เตรียม “แผนรองรับ” ด้วยการ ให้สมาชิกพรรคที่มีอยู่ทั่วประเทศ และส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ ส.ส.เขต พากันย้ายเข้าไปสังกัดพรรคการเมืองใหม่ ตามที่ธนาธร ได้ประกาศเอาไว้แล้วว่า ถึงยุบพรรคก็ไม่เป็นอะไร แต่ “อุดมการณ์” ของพรรคจะยังอยู่ การฝ่าด่านคดีล้มล้างการปกครองของพรรคอนาคตใหม่ ในวันนี้ถือเป็นเพียง “ฉากหนึ่ง”เท่านั้น เพราะยังมีคดีความที่ยังรอไล่บี้ ด้วยกันอีกสองคดีสำคัญ ทั้งคดีให้พรรคกู้เงิน 191 ล้านบาท ที่กำลังถูกคาดการณ์กันว่า ผลในทางคดีเงินกู้ 191 ล้านบาทนั้นจะมีอานุภาพที่รุนแรงตามมา จนถึงขั้น “ปิดหนทาง” ทางการเมือง สำหรับ ธนาธร และปิยบุตร หากทั้งธนาธร และปิยบุตร วาดหวังว่า แม้พรรคจะถูกยุบ ก็ตั้งพรรคการเมืองใหม่มารองรับ แต่ในความเป็นจริงแล้วอย่าลืมว่าเมื่อถึงเวลานั้น จะมีส.ส.ขยับตามไปอยู่ด้วยกันทั้งหมด เพราะนี่คือ โอกาสทองที่ พรรคการเมืองอื่นๆ โดยเฉพาะฝ่ายรัฐบาล พร้อมที่จะ “ดึงตัว” ให้ไปเข้าสังกัดได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายอีกด้วย หรือหากมีพรรคการเมืองใหม่ ก็ใช่ว่า ธนาธรและปิยบุตร จะสามารถเข้าไปทำกิจกรรมร่วมด้วยอย่างเปิดเผย เพราะในวันข้างหน้าอาจมีคนไปร้อง ว่ากระทำการเข้าข่ายขัดต่อ พ.ร.ป.พรรคการเมือง ฯกรณี คนนอกครอบงำพรรค เหมือนกับที่พรรคเพื่อไทย พยายามกัน ไม่ให้ “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกฯ เข้ามาเกี่ยวข้องกับกิจกรรมต่างๆของพรรคเพื่อไทย สถานการณ์ของพรรคอนาคตใหม่ ถูกเชื่อมโยง ผูกติดกับธนาธร เป็นหลัก แม้แกนนำพรรค จะพยายามย้ำเตือน ชูอุดมการณ์เหนือตัวบุคคล แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับไม่เป็นเช่นนั้น หมายความว่า การผุดพรรคใหม่ ขึ้นมาแทนที่ หากพรรครอดพ้นคดีล้มล้างการปกครอง แต่อาจต้อง “ปิดฉาก”ด้วยคดีอื่นที่รออยู่ โอกาสที่พรรคใหม่ โดยไร้ธนาธร เป็น “แม่เหล็ก” ย่อมเป็นการยาก ที่จะประสบความสำเร็จ เหมือนที่เคยเกิดขึ้นกับอนาคตใหม่มาแล้ว !