คลื่นลมที่พรรคเพื่อไทย ยังไม่ทันจาง ล่าสุด มรสุมลูกใหม่ก็พัดเข้ามาระลอกใหม่ เมื่อล่าสุด “สามารถ แก้วมีชัย” อดีตส.ส.พรรคเพื่อไทย ได้ยื่นหนังสือลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย เรียบร้อยแล้ว เมื่อวันที่ 9 ม.ค.63ที่ผ่านมา
แน่นอนว่าการลาออกของสามารถ ครั้งนี้ คือภาพสะท้อนถึงปัญหาและความขัดแย้งที่เคยร้าวลึก ระหว่าง สามารถ กับ กลุ่มของ “วิสาร เตชะธีระวัฒน์” ส.ส.เชียงราย พรรคเดียวกัน อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากความไม่พอใจ ในการคัดเลือกผู้สมัครนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.) เมื่อวิสาร ส่งลูกสาวคือ “วิสาระดี เตชะธีระวัฒน์” เป็นผู้สมัคร ทั้งที่ในตอนแรก ส.ส.เชียงรายของพรรคมีมติส่ง “อทิตาธร วันไชยธนวงศ์” ลงสนาม
ทำให้สามารถ ตัดสินใจยื่นใบลาออกจากสมาชิกพรรค สร้างแรงสั่นสะเทือนขึ้นมารอบใหม่ ทั้งที่ก่อนหน้านี้เพียงไม่กี่วัน พรรคเพื่อไทยเพิ่งเผชิญกับมรสุมความขัดแย้ง ระหว่างกลุ่มคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์ของพรรค ที่ถูกรุมถล่มจากกลุ่ม ส.ส.อีสานบางส่วน ผนึกกำลังกับกลุ่มของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้งขึ้นมานั่งในเก้าอี้ใหญ่ คือ ประธาน คณะกรรมการกิจการพิเศษ ซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของหัวหน้าพรรค คือ “สมพงษ์ อมรวิวัฒน์”
จนเกิดเป็นกระแสข่าวร้อนแรงรับปีใหม่ ว่าคุณหญิงสุดารัตน์ เกิดอาการน้อยใจและจะลาออกจากตำแหน่งประธานยุทธศาสตร์ ของพรรค แต่ต่อมาคุญหญิง สุดารัตน์ นอกจากจะไม่ยอมลาออกตามกระแสข่าวแล้ว ยัง “สวนกลับ” คนที่ปล่อยข่าวว่า “ไม่เป็นสุภาพบุรุษ” ทำเอาพรรคเพื่อไทยปั่นป่วน วุ่นวาย กันไปทั้งพรรค
ปัญหาเก่ายังไม่ทันจาง ปัญหาใหม่เปิดฉากกระหน่ำเข้ามาทันที เมื่อสามารถ ประกาศทิ้งพรรค พร้อมทิ้งท้ายเอาไว้ด้วยว่า ถึงเวลาที่จะเป็นอิสระแล้ว !
“ผมได้ยื่นหนังสือลาออกจากสมาชิกพรรคเพื่อไทยอย่างเป็นทางการแล้ว ในวันพฤหัสบดีที่ 9 มกราคม 2563
โดยได้ยื่นหนังสือลาออกไป 3 ฉบับ คือ ถึงหัวหน้าพรรคเพื่อไทย เลขาธิการพรรคเพื่อไทย และ นายทะเบียนพรรคการเมือง สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันพฤหัสบดีที่ 9 มกราคม 2563 เป็นต้นไป
เหตุผลในการลาออก สรุปสั้นๆได้ว่า ผมสังกัดพรรคเพื่อไทย ทำงานร่วมกับพรรคเพื่อไทยมาตั้งแต่ปี 2543 ถึงปีนี้ครบ 20 ปีพอดี มีโอกาสได้ทำงานได้เรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างในช่วงเวลาดังกล่าว จึงคิดว่าถึงเวลาต้องการความเป็นอิสระปลอดจากสังกัดพรรคการเมือง เพื่อทบทวนตัวเอง ถอยออกมามองและวิเคราะห์สถานการณ์ต่างๆ ในภาพกว้างมากขึ้น รับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากพรรคพวกเพื่อนฝูงทุกกลุ่ม ทุกสี ทุกสาขาอาชีพอย่างกว้างขวางด้วยบรรยากาศสบายๆ ไม่กังวลในสถานะที่สังกัด”
แกนนำพรรคเพื่อไทย ต่างกลุ่ม แต่ละขั้ว พากันตั้งท่างัดข้อกันเอง อย่างไม่รู้จบสิ้นอย่างนี้ มีแต่จะทำให้สถานการณ์ภายในพรรคยิ่งอ่อนแอลงไปมากขึ้นทุกที ทั้งที่ “ศึกนอก” ยังรออยู่เบื้องหน้า โดยเฉพาะการอภิปรายไม่ไว้วางใจซึ่งพรรคเพื่อไทยเอง จะสามารถใช้เป็นโอกาส “สร้างผลงาน” ได้ แต่กลับกลายเป็นว่า “วิกฤติ” ภายในพรรคกลับฉุดรั้ง ให้มีอันต้อง “เสียจังหวะ”กันอย่างที่เห็น !