สถาพร ศรีสัจจัง ถ้าใครสังเกตจะพบว่า  วันนี้ชาวโต๊ะสภากาแฟเช้าที่ปักษ์ใต้โต๊ะเดิมมีสีหน้าสีตาไม่อิ่มเอมกันนัก ! ที่เป็นเช่นนั้นคงเป็นเพราะข่าวคราวบางเรื่องเกี่ยวกับการประกาศใช้กฎหมายที่ส่งผลโดยตรงถึงหลายคนในโต๊ะ กฎหมายดังกล่าวเป็นกฎหมายพิเศษ เป็นกฎหมายที่นายกยกฯลุงตู่อันเป็น “ฮีโร่” ของพวกเขาเสมอมา เป็นผู้มีอำนาจในการใช้โดยตรงเพียงคนเดียว(แม้จะอ้างว่าจะผ่านคณะอะไรมากี่คณะหรือกี่คนแล้วก็ตาม)ในการจะประกาศใช้ในแต่ละครั้ง ซึ่งนั่น ทำให้พวกเขาสรุปแบบทุบโต๊ะลงไปว่า การใช้กฎหมายดังกล่าวครั้งนี้เป็นความคิดของนายกลุงตู่อย่างไม่อาจปฏิเสธ(แม้จริงๆแล้วจะถูกชงเรื่องมาจากบริวารหรือจาก บรรดาพวก “เทคโนแคร็ต” รอบตัวก็ตาม) นั่นคือการประกาศใช้มาตรา 44 เพื่อแก้ปัญหาการจราจรของชาติ ! ในรายละเอียดนั้น ทำให้กฎหมายจราจรมีองค์ประกอบเพิ่มขึ้นอีกมาก ส่วนใหญ่เป็นการเพิ่มกติกาที่มวลมหาประชาชน(ภาษาของคุณสุเทพ เทือกสุบรรณ)เป็นผู้ที่ต้องแบกรับ ทั้งเรื่องการปฏิบัติและการรับโทษ บางใครในสภากาแฟเช้าแห่งนั้นเปรยขึ้นเป็นทำนองว่า ก็เข้าใจถึงเจตนาของนายกฯลุงตู่ดีว่า ท่านอาจจะรู้สึกอับอาย ที่ชาวโลกต่างเหยียดหยามสิ่งที่เกิดขึ้นจากระบบการจราจรในบ้านเราตลอดมา ทั้งปัญหารถติด ปัญหาการขับรถเร็ว ปัญหาความไม่มีวินัยจราจรตั้งแต่เรื่องใหญ่ๆจนถึงเรื่องเล็ก โดยเฉพาะเรื่องการใช้รถจักรยานยนตร์หรือมอเตอร์ไซด์ ที่มักตัวร่วมในการก่อปัญหาการจราจรแทบทุกเรื่อง ฯลฯ ที่สำคัญคือเรื่องการที่มีคนต้องเสียชีวิตและบาดเจ็บจากการนี้อย่างมากมายมหาศาลเป็นอับต้นของโลก อันเป็นภาพสะท้อนของความเป็นประเทศโง่เขลาไร้อารยะของผู้คน แต่...ชาวสภากาแฟคนเดิมทักเสียงยาวขึ้นแบบไม่สบอารมณ์...การแก้ปัญหาแบบ “ทุบเปรี้ยง” และเหมารวมชนิดต้องให้ได้ในทันทีทันใดย่อมก่อปัญหาให้เกิดขึ้นในหมู่ประชาชนผู้เป็นจุดมุ่งตามเจตนาดีต่อชาติของท่านนายกลุงตู่ในครั้งนี้ ที่ถึงขนาดต้องใช้ “เครื่องมือศักดิ์สิทธิ์” คือมาตรา 44 ฝ่ายตรงข้ามอธิบายได้ด้วยสูตรสำเร็จเพียงความหมายเดียว คือ “เป็นเครื่องของเผด็จการที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งของประชาชน”!               การใช้กฎหมายพิเศษมาตรานี้ จึงเป็นเรื่องส่งผล 2 ด้านเสมอ! คือ ด้านหนึ่งช่วยทำให้สามารถแก้ปัญหาบางประการที่กฎหมายธรรมดาทำได้ยากได้จริง และที่สำคัญคือสามารถทำได้อย่างทันกาล ทำให้เกิดความสูญเสียของชาติหรือสังคมส่วนรวมน้อยลง แต่ในอีกด้านหนึ่ง ถ้าขาดความรอบคอบรอบด้านในการคิด ขาดจังหวะก้าวที่ดีในรายละเอียดเชิงปฏิบัติ ก็อาจสามารถก่อปัญหาสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนได้ไม่น้อยเช่นกัน ที่สำคัญคือ กฎหมายพิเศษอย่างมาตรา 44 อาจกลายเป็น “หอก” ที่ยื่นให้กับฝ่ายตรงข้ามเพื่อใช้ย้อนกลับมาแทงผู้ใช้เอง ประเด็นนี้นับเป็นเรื่องน่าหวาดเสียวเป็นที่สุด กรณีการใช้มาตรา 44 เพื่อแก้ปัญหาความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินของชาวบ้านในครั้งนี้ โดยด้านหลักแล้ว ชาวสภากาแฟที่ภาคใต้ล้วนเห็นด้วยเห็นดี เพียงแต่บางเรื่อง เช่น การบังคับรถยนต์ส่วนบุคคลและรถบริการสาธารณะให้ต้องมีสายคาดสะเอว ที่เรียก “safety belt” ทุกที่นั่ง(เขานินทากันว่าร้านขายและติดตั้ง safety belt รวยเละทันทีนะครับ และคนธรรมดายากที่จะหาเงินไปติดตั้งได้แบบทันทีทันใดตามคำสั่ง) ห้ามคนนั่งกระบะหลังรถปิ๊กอัพ(โดยเฉพาะในเขตพื้นที่ชนบท 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่มี “วัฒนธรรม”การบรรทุกคนบนกระบะหลังมายาวนาน) เป็นต้น ชาวสภากาแฟที่เป็นขาเชียร์นายกฯลุงตู่มาตลอดอีกคน สอดเสียงแทรกขึ้นว่า เรื่องนี้คงต้องให้ท่านนายกฯไปอ่านซึมซับข้อเขียนในคอลัมน์ ของ “เปลว สีเงิน” แห่งหนังสือพิมพ์ไทยโพสให้ดีๆ ว่าอาจทำให้มาตรา 44 เปลี่ยนจากไม้เท้าศักดิ์สิทธิ์กลายเป็นไม้ตีหมาไปอย่างไร!!!