ทองแถม นาถจำนง “คุณเผ่า” ในที่นี้คือ พล.ต.อ. เผ่า ศรียานนท์ อธิบดีกรมตำรวจคู่บรมีจอมพล ป. พิบูลสงคราม คุณเผ่าต้องลี้ภัยไปอยู่ในยุโรปหลังจาก พล.อ. สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ทำรัฐประหาร พ.ศ. 2500 นสพ.สยามรัฐ วิพากย์วิจารณ์รัฐบาล จอมพล ป. พิบูลสงคราม แรง และเคยถุกทำโทษถุกเซนเซอร์ข่าว ถูกปิด แต่เรื่องที่คนรุ่นใหม่ไม่ค่อยรู้กันคือ ที่จริง ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช รู้จักสนิทสนมเป็นการส่วนตัวกับคุณเผ่ามาตั้งแต่เด็ก ส่วนในเรื่องการเมืองนั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งคือ “ไปด้วยกันไม่ได้” เมื่อ พ.ศ. 2511 ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้รับเชิญไปปาฐกถาที่ประเทศสเปน แล้วก็เลยถือโอกาสท่องเที่ยวยุโรป เมื่อผ่านกรุงเจนีวา ท่านนึกถึงคุณเผ่าขึ้นมา ก็เลยเขียนเล่าเรื่องของคุณเผ่าไว้ เรื่องนี้พิมพ์รวมเล่มเป็นหนังสือชื่อ “โลกส่วนตัวของผม” (สำนักพิมพ์ก้าวหน้า พ.ศ. 2511) เป็นหนังสือที่อ่านสนุกให้ความรู้เรื่องอาหาร สุราเมรัย ตลอดจนแหล่งท่องเที่ยวไว้มาก ยังไม่มีการพิมพ์ใหม่ ใครไปงานสัปดาห์หนังสือก็หาเล่มเก่าไปอ่านก่อน ท่านเล่าถึงคุณเผ่าไว้ว่า “มองข้ามทะเบสาบออกไปแลเห็นตึกอยู่ฝั่งตรงข้าม ตาไปมองเอาตึกที่คณเผ่า ศรียานนท์ เคยพัก รู้สึกใจหายวาบขึ้นมาทันที ถ้าจะถามว่าใจหายเพราะอะไร ก็เห็นจะต้องบอกตรง ๆ ว่า ใจหายเพราะคิดถึงคุณเผ่านั่นเอง ความจริงคุณเผ่ากับผมเป็นคนที่มีความผูกพันกันมามากในอดีต รู้จักกันมาตั้งแต่ยังเป็นเด็กเล็ก ๆ ถึงแม้ว่าเติบโตขึ้นแล้ว เจอกันเข้าครั้งใดก็ดีอกดีใจทุกครั้งไป แต่ต่อมาคุณเผ่ามีอำนาจวาสนายิ่ขึ้น กลายเป็นบุคคลสำคัญของเมืองไทยไป การเมืองก้เข้ามาแทรกแซง ทำให้ผมกับคุณเผ่าต้องห่างเหินกันไป แต่เพียงเท่านั้นก็พอทำเนา แต่ความคิดเห็นในทางการเมือง ตลอดจนวิธีการปฏิบัติต่าง ๆ ทั้งของคุณเผ่าและของผมทำให้เกิดความแตกแยกกันมากยิ่งขึ้น บางครั้งก็ถึงขนาดรุนแรง แต่ความจริงใจของผมเองแล้ว ความผูกพันที่มีมาแต่ดั้งเดิมก็ยังคงมีอยู่ในใจตลอดมา นึกถึงคุณเผ่าครั้งใดก็นึกคุณเผ่าตัวจริง มิใช่มนุษย์เหล็กมนุษย์ไหลอย่างที่คนเขายกย่อง และเมื่อนึกถึงในสภาพเช่นนั้นแล้วก็มีแต่ความชอบพอเป็นมิตรและความเห็นอกเห็นใจที่เคยได้มีต่อกันมาแต่ก่อนทุกครั้ง ถึงทุกวันนี้โลกส่วนตัวของคุณเผ่าก็เห็นจะดับลงและสลายไปแล้ว แต่โลกส่วนตัวของผมยังอยู่ และตราบใดที่โลกส่วนตัวของผมยังอยู่ก็จะต้องมีคุณเผ่าออยู่ในโลกนั้น มองเห็นเพียงหลังคาตึกที่คุณเผ่าเคยอยู่รำไร ก็ต้องคิดถึงคุณเผ่า และเมื่อนึกได้ว่าคุณเผ่าตายไปนานแล้วก็ต้องใจหาย ในโลกส่วนตัวของคนอื่นคุณเผ่าอาจจะมีแต่ทางดีทุกทาง ซึ่งก็เป็นของธรรมดา หรือในโลกส่วนตัวของคนอื่นอีกบางคน คุณเผ่าอาจจะมีแต่ทางชั่วทุกทาง ซึ่งก็เป็นของธรรมดาอีก แต่ในโลกส่วนตัวของผมนั้นดูเหมือนจะมีคุณเผ่าอยู่สองคน คุณผ่าคนหนึ่งเป็นคุณเผ่าที่รู้จักกับผมมาแต่อ้อนแต่ออก คุณเผ่าคนนี้มีแต่ดีทั้งนั้น ส่วนคุณเผ่าอีกคนหนึ่งเป็นคนที่สองนั้น คือท่านมนุษย์เหล็กผู้ยิ่งใหญ่ในเมืองไทยสมัยหนึ่ง คุณเผ่าคนนี้ผมไม่รู้จัก และเมื่อคุณเผ่าได้ตายไปแล้ว คุณเผ่าคนที่สองนี้พลอยหายไปจากโลกส่วนตัวของผมด้วย คงเหลือแต่คุณเผ่าคนแรก ผมพบกับคุณเผ่าครั้งสุดท้ายเมื่อหกหรือเจ็ดปีมาแล้ว จำไม่ได้แน่ จำได้แต่ว่าเป็นเวลาไม่กี่วันก่อนคุณเผ่าถึงแก่กรรม ตอนนั้นผมมีธุระจะต้องเดินทางจากกรุงเจนีวาไปยังกรุงลอนดอน จึงต้องเข้าไปในบริษัทการบินสายหนึ่งเพื่อติดต่อทำตั๋ว วันนั้นนึกสังหรณ์ในใจอย่างไรก็ไม่ทราบ แตเกิดความรู้สึกว่าเห็นจะได้เจ อหน้าคุณผ่านันนี้ หลัจากที่ไม่ได้พบกันมานานตั้งแต่คุณเผ่าต้องออกจากเมืองไทยมา พอนึกได้อย่างนั้นเหลียวออกไปดูที่ริมถนนก็เห็นคุณเผ่าแต่งฝรั่งเดินอาด ๆ มาจากไหนก็ไม่ทราบ และเผอิญคุรเผ่ามองเข้ามาน้านเห็นผมเข้าพอดี คุณเผ่าก็ไม่พูดจาว่าอะไร เปิดประตูร้านเข้ามาแล้วก็ทักทายกับผมเป็นปกติ คุณเผ่าถามผมว่า “อยู่เมืองไทยทุกวันนี้น่ะ ไม่กลัวคนใหญ่คนโตสมัยนี้เขาบ้างหรือ”ผมก็ตอบว่า “ก้เมื่อุณเผ่าเป็นใหญ่เป็นโต ผมยังไม่กลัว จะมากลัวอะไรกันเดี๋ยวนี้” คุณเผ่าหัวเราะแล้วตอบว่า “นี่แหละ พุดอย่างนี้แหละ จะตายสักวันหนึ่ง” ผมก็บอกกับคุณเผ่าต่อไปว่า เรื่องกิจการบ้านเมืองอะไรต่ออะไรยกเอาไว้ก่อนเถิด พูดเรื่องสารทุกข์สุขดิบของเรากันดีกว่า คุณเผ่าก็รับคำ เลยชวนกันไปนั่งคุยไต่ถามทุกข์สุขกันอยู่เป็นเวลานานพอสมควรทีเดียว ก่อนผมจะลาจากเพื่อไปขึ้นเครื่องบินไปลอนดอน คุณเผ่าถามผมว่าจะกลับเจนีวาอีกเมื่อไร ผมบอกว่า ราวอีกสักสิบวันก็จะกลับมาใหม่ คุณเผ่าก็ออกปากชวนผมไปกินข้าวที่บ้าน ผมก็บอกว่าไม่ไปละ คุณเผ่าถามว่าทำไมเล่า คุณควงมาก็มากินข้าวที่บ้านผม คุณเสนีย์มาก็มากินข้าวที่บ้านผม ทำไมคุณจะมาไม่ได้ ผมบอกว่าถึงผมจะไปก้ไปได้ แต่ผมไม่ใช่คุณควงและไม่ใช่คุณเสนีย์ เพราะในขณะไปกินข้าวที่บ้านคุณเผ่า คุยกันนาน ๆ เข้า เรื่องที่คุยกันก็จะต้องวกเข้าหาการเมืองไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้ และถ้าหากผมต้องคุยกับคุณเผ่าในเรื่องการเมืองแล้ว ผมก็จะต้องทะเลาะกับคุณเผ่านั้ไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้อีกเหมือนกัน การทะเลาะกับคุณเผ่านั้นไปทะเลาะกันที่อื่นที่ใด ผมก็พอจะทำได้ แต่การไปทะเลาะกับคุณเผ่าในขณะที่กินข้าวของคุณเผ่าในบ้านของคุณเผ่านั้น ผมไม่ชอบทำและไม่อยากทำ คุณเผ่าก็ได้แต่หัวเราะแล้วบอกว่า “เออน่า เออน่า เอาไว้วันหลังค่อยว่ากันใหม่” จากกันไปวันนั้นแล้ว อีกสักประมาณเจ็ดวันขณะที่ผมยังอยู่ในลอนดอน ผมก็ได้ข่าวว่าคุณเผ่าถึงแก่กรรมเสียแล้วด้วยโรคปัจจุบัน โดยที่มิได้มีใครคาดหมายล่วงหน้าไว้ก่อนเลย ได้ยินข่าวนั้นก็ได้แต่ใจหายอยู่ที่กรุงลอนดอนครั้งหนึ่ง เพราะเมื่อพบกันนั้น คุณเผ่ามิได้แสดงอาการว่าเจ็บไข้แต่อย่างใดทั้งสิ้น ตรงกันข้ามดูเหมือนจะมีร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์และมีสุขภาพดีกว่าเมื่อครั้งที่คุณเผ่ายังเป็นใหญ่เป็นโตอยู่ในเมืองไทยเสียด้วยซ้ำไป ผมก็ได้แต่อโหสิกรรมให้แก่คุณเผ่าคนที่สอง หรือคุณเผ่าผู้ยิ่งใหญ่ในทันทีทันใดที่ได้รับข่าวนั้น และยังคงเก็บรักษาเอาคุณเผ่าคนแรก คือคุณเผ่าที่ผมรู้จักมาแต่เด็กนั้นไว้ในโลกส่วนตัวของผม ทุกวันนี้นึกถึงคุณเผ่าครั้งใด คุณเผ่าคนนั้นก็ยังมีชีวิตอยู่มิได้ล้มหายตายจากไปไหน ไปยืนอยู่ริมทะเลาบที่กรุงเจนีวามองเห็นหลั คาบ้านคุณเผ่า คุณเผ่าก็กลับเข้ามาสู่โลกส่วนตัวของผมทันที เมื่อคุณเผ่ากลับเข้ามาโลกส่วนตัวของผมแล้ว ก็เลยทำให้นึกไปถึงผู้ที่ใกล้ชิดกับคุณเผ่าอีกด้วย คุณหญิงอุดมลักษณ์ ผู้เป็นภรรยาคุณเผ่า ก็มิได้อยู่ที่กรุงเจนีวาอีกต่อไปแล้ว แต่ได้กลับเข้ามาอยู่ในประเทศไทย”
ภาพจากเว็บ “เรือนไทย.วิชาการ.คอม”
ภาพจากเว็บ “เรือนไทย.วิชาการ.คอม
ภาพจากเว็บ “เรือนไทย.วิชาการ.คอม”
ภาพจากเว็บ “เรือนไทย.วิชาการ.คอม
พล.ต.อ. เผ่า  ศรียานนท์ กับภรรยา
พล.ต.อ. เผ่า ศรียานนท์ กับภรรยา
พล.ต.อ. เผ่า  ศรียานนท์ กับภรรยา
พล.ต.อ. เผ่า ศรียานนท์ กับภรรยา
ขอบคุณภาพจาก http://khunmaebook.tarad.com/product.detail_646347_th_6187627#