จากข้อมูลที่ นางจันทวรรณ สุจริตกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายสื่อสารและความสัมพันธ์องค์กร ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ได้รับแจ้งปัญหาโครงการรีไฟแนนซ์หนี้บัตรเครดิตของลูกหนี้ที่มีประวัติผ่อนชำระดี แต่เริ่มประสบปัญหาการผ่อนชำระผ่านโครงการคลินิกแก้หนี้ ซึ่งทาง ธปท. ได้หารือกับสถาบันการเงิน และผู้ให้บริการทางการเงิน (นอนแบงก์) ว่าจะช่วยดูแลลูกหนี้กลุ่มนี้ได้อย่างไรบ้าง โดยยังคงให้เป็นไปตามกลไกตลาดที่จะส่งเสริมให้มีการแข่งขันกันมากขึ้น
ทั้งนี้การเข้าช่วยเหลือดังกล่าวขณะนี้ยังอยู่ในขั้นตอนของการหารือหลักการเบื้องต้น ซึ่งอาจต้องใช้เวลาอีกสักระยะหนึ่งก่อนจะมีแนวทางที่ชัดเจนในการดำเนินการต่อไป เพื่อช่วยเหลือให้ลูกหนี้บัตรเครดิตที่มีประวัติชำระดี แต่อาจมีปัญหาบางอย่างจนทำให้กระทบกับการผ่อนชำระได้มีการแก้ไขปัญหาและลดปัญหาหนี้ครัวเรือน
ขณะที่ภาพรวมยอดค้างชำระหนี้ตั้งแต่ 1-3 เดือน ในระบบธนาคารพาณิชย์รวมสินเชื่อทั้งมีหลักประกันและไม่มีหลักประกันอยู่ที่ 2.59% ต่อสินเชื่อรวม หรือเกือบ 4 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นกลุ่มที่ยังไม่เป็นเอ็นพีแอล โดยกลุ่มดังกล่าวมีหนี้สินเชื่อบัตรเครดิต 1.94% และสินเชื่อส่วนบุคคล 2.18% และยังไม่นับรวมหนี้ที่เกิดจากลูกหนี้นอนแบงก์ ส่วนภาพรวมเอ็นพีแอลในระบบธนาคารพาณิชย์อยู่ที่ 3.01% ต่อสินเชื่อรวมมียอดคงค้าง 4.69 แสนล้านบาท
อีกด้านหนึ่งนายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่าการช่วยเหลือ ผู้เป็นหนี้บัตรเครดิตให้มากู้เงินกับธนาคารเพื่อผ่อนชำระต่อเดือนลดลงนั้น มีที่มาเริ่มต้นจากกระทรวงการคลังที่กังวลว่าลูกหนี้บัตรเครดิตต้องชำระหนี้บัตรเครดิตขั้นต่ำถึง 10% ของยอดค้างทุกเดือน เช่น มียอดค้าง 100,000 บาท ก็จะต้องชำระ 10,000 บาท ทำให้เป็นภาระหนักของคนชั้นกลาง ดังนั้นกระทรวงการคลังจึงขอให้ธนาคารออมสินหาแนวทางแก้ไขปัญหานี้ ซึ่งแนวคิดของธนาคารออมสินเห็นว่าควรหาแนวทางผ่อนปรนให้ลูกหนี้บัตรเครดิตมีภาระการผ่อนชำระลดลงจากเดือนละ 10% ของยอดหนี้ มาอยู่ระดับไม่เกินเดือนละ 3% ของยอดหนี้ น่าจะช่วยแบ่งเบาภาระได้มาก
วิธีการตามแนวความคิดนี้ คือ ให้โอนหนี้บัตรเครดิตของสถาบันการเงินอื่นมาเป็นเงินกู้ที่ธนาคารออมสิน (Balance Transfer) และให้ผ่อนชำระคืนเป็นเวลาประมาณ 3 ปี โดยมียอดการผ่อนชำระต่อเดือนไม่เกิน 3% ก็จะเป็นการลดภาระการผ่อนของคนชั้นกลางได้ แต่มีเงื่อนไขต้องเป็นลูกค้าที่ดีมา 12 เดือน และต้องยกเลิกบัตรเครดิตใบเดิม เพื่อไม่ให้มีภาระหนี้เพิ่มซ้ำซ้อน และอาจมีเงื่อนไขอื่นๆ ประกอบอีก โดยจะเสนอเข้าสู่ที่บอร์ดธนาคารออมสินในวันที่ 17 ธันวาคมนี้
ทั้งนี้ ในการประชุมคณะกรรมการธนาคาร ในวันที่ 17 ธันวาคมนอกจากแนวทางการช่วยเหลือลูกหนี้บัตรเครดิตลดภาระการผ่อนชำระลงแล้ว ธนาคารเตรียมเสนอของขวัญปีใหม่กับลูกค้าธนาคาร ด้วยการคืนดอกเบี้ยให้ผู้กู้รายย่อยที่มีวงเงินกู้ไม่เกินคนละ 2 แสนบาท และมีประวัติการผ่อนชำระดีตามเงื่อนไขธนาคาร 1 ปีที่ผ่านมา โดยพบว่ามีกลุ่มลูกค้าดังกล่าวประมาณ 1 ล้านราย นอกจากนี้ให้ของขวัญกับกลุ่มผู้ฝากเงิน โดยจะมีผลิตภัณฑ์สินเชื่อดอกเบี้ยสูงกว่าปกติ เพื่อสนับสนุนการออมสำหรับกลุ่มลูกค้าธนาคารเดิมและกลุ่มใหม่ โดยขณะนี้ดอกเบี้ยเงินฝากในระบบต่ำมาก เดิมทีธนาคารออมสินตรึงดอกเบี้ยเงินฝากไว้ถึงวันที่ 1 มกราคม 2563 ดังนั้น เพื่อเป็นการช่วยเหลือผู้ฝากเงิน ธนาคารให้ของขวัญเงินฝากดอกเบี้ยสูงกว่าปกติ
โดยหลังจากผ่านบอร์ดแล้วคาดว่ากระทรวงการคลังนำเสนอเข้าสู่ที่ประชุม ครม.ในวันที่ 24 ธันวาคม เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับประชาชน ธนาคารออมสินพร้อมจ่ายคืนดอกเบี้ยและรับฝากเงินดอกเบี้ยสูงทันทีในเดือนมกราคม 2563 โดยเสนอ ครม.เพื่อให้ระบุว่าโครงการดังกล่าวนั้นธนาคารดำเนินการตามนโยบายรัฐ (พีเอสเอ) ซึ่งไม่ต้องชดเชยเป็นเงินให้ธนาคาร แต่ให้บวกกลับเป็นผลการดำเนินงานของธนาคารเท่านั้น เพราะการคืนดอกเบี้ยกระทบต่อกำไรธนาคาร 500-600 ล้านบาท
ถือเป็นข่าวดีสำหรับลูกหนี้ เป็นของขวัญปีใหม่ที่ช่วยแบ่งเบาภาระหนี้ครัวเรือนของประชาชน ซึ่งแน่นอนว่าในสถานการณ์วิกฤติเช่นนี้ หากธนาคารยังไม่ผ่อนปรน ลูกหนี้อยู่ไม่ได้ ธนาคารจะอยู่อย่างไร