วันที่ 9 ธันวาคมของทุกปี เป็นวันต่อต้านคอร์รัปชันสากล รัฐบาลร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ป.ป.ช. สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ ป.ป.ท. องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน(ประเทศไทย) ภาคีเครือข่ายภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคมจัดงานวันต่อต้านคอร์รัปชันสากล(ประเทศไทย)ขึ้นเพื่อประกาศจุดยืนร่วมกันในการต่อต้านคอร์รัปชัน ทั้งนี้พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธาน ป.ป.ช.กล่าวว่า การจัดกิจกรรมการต่อต้านคอร์รัปชันสากล มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1.ประกาศเจตจำนง ของผู้นำประเทศและผู้นำ ทุกภาคส่วน ในการป้องกันแก้ไขและปราบปรามการทุจริต 2.ผสานพลังคนไทยและทุกภาคส่วน ให้ตื่นรู้พร้อมต้านการทุจริตในทุกรูปแบบ เพื่อให้สังคมไทยมีวัฒนธรรมต่อต้านการทุจริต และ 3.ให้คนไทยและนานาชาติ รับรู้ถึงความมุ่งมั่นและการดำเนินการป้องกันแก้ไขปัญหา การทุจริตในประเทศไทย เพื่อผลักดันการยกระดับดัชนีการรับรู้การทุจริต (ค่า CPI) ให้สูงกว่าร้อยละ 50 ตามที่กำหนดไว้ในยุทธศาสตร์ชาติ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตระยะที่ 3 อย่างไรก็ตามปัจจุบัน สังคมไทยเริ่มตื่นตัวตื่นรู้เกี่ยวกับภัยร้ายแรงของการทุจริตประชาชนเริ่มไม่ทนต่อการทุจริต กล้าที่จะเปิดโปง การทุจริตมากขึ้นจะเห็นได้จากกรณีการทุจริตเงินสงเคราะห์ผู้ยากไร้ การเปิดโปงกรณีอาหารกลางวัน อาหารเสริมนมของนักเรียน เป็นต้น ขณะที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ได้นำกล่าวประกาศเจตนารมณ์ว่า “ข้าพเจ้า ขอประกาศเจตนารมณ์ว่า จะประพฤติปฏิบัติตน ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ไม่กระทำการทุจริต จะยึดมั่นในความยุติธรรม ยึดถือประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตน จักปกป้องเทิดทูนสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และเจริญรอยตามเบื้องพระยุคลบาทพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ด้วยจิตอาสา พร้อมทำความดี ด้วยหัวใจ ตลอดไป” พร้อมกันนี้ ยังได้กล่าวตอนหนึ่งว่า รัฐบาลได้กำหนดนโยบายเร่งด่วน ในการแก้ไขปัญหาการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการ ทั้งฝ่ายการเมืองและฝ่ายราชการประจำ โดยได้ดำเนินการพัฒนา ปรับปรุงกฎหมายต่างๆ ให้ครอบคลุม และเป็นเรื่องที่ต้องแทรกอยู่ในการปฏิรูปทุกๆ ด้าน ทั้งในเรื่องความโปร่งใสในการดำเนินงานของภาครัฐ ส่งเสริมให้กระบวนการยุติธรรมปราศจากการแทรกแซงของนักการเมืองและผู้มีอิทธิพล ตลอดจนการกำหนดให้มีการลงโทษผู้กระทำผิดกรณีทุจริตและประพฤติมิชอบอย่างจริงจังและรวดเร็ว ซึ่งทุกฝ่ายต้องเข้ามามีส่วนร่วมในการช่วยตรวจสอบและเฝ้าระวังด้วย “สิ่งเหล่านี้ยังไม่พอเราต้องทำต่อไปและต้องเชื่อมั่นในกฎหมายและกระบวนการสื่อเป็นสิ่งสำคัญหลายคนคิดได้แต่ทำไม่ได้ดังนั้นต้องทำอย่างไรให้ช่วยกันแก้ปัญหาเหล่านี้ให้ได้ โดย รัฐบาลนี้รวมถึงรัฐบาลต่อไปต้องวางรากฐานทางความคิดของประชาชน วันนี้ความคิดแตกต่างกันซึ่งถือเป็นประชาธิปไตย ขณะเดียวกันคนไทยจะต้องก้าวข้ามค่านิยมอุปถัมภ์และความเพิกเฉยต่อการทุจริตประพฤติมิชอบ รวมทั้งการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ต้องได้รับความไว้วางใจ และความเชื่อมั่นจากประชาชนว่าสามารถปกป้องผลประโยชน์ของชาติ” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่านอกจากนี้ ยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ระยะที่ 3 พ.ศ. 2560 - 2564 ที่มีเป้าหมายให้”ประเทศไทยใสสะอาด ไทยทั้งชาติต้านทุจริต” โดยมุ่งหวังให้ระยะ 5 ปีข้างหน้า จะเป็นการปฏิรูปกระบวนการทำงานจากเดิม ไปสู่กระบวนการทำงานแบบบูรณาการทั้งระบบ อย่างไรก็ตาม แม้ปัจจุบันสถานการณ์การทุจริตในประเทศไทยดีขึ้นหลายมิติ แต่ต้องเดินหน้าแก้ปัญหาต่อเนื่อง สิ่งสำคัญเรื่องกฎหมายที่ต้องมีการแก้ไข ปรับปรุงให้ทันสมัยต่อสากล แต่คนทุจริตคือคนไม่ดีที่เก่งหาช่องโหว่กฎหมายจนได้ ดังนั้นทุกคนต้องมีจิตใจเริ่มจากตัวเองก่อน อย่าทำอะไรที่เป็นการทุจริต หากทำได้ลดความขัดแย้งได้มาก และกฎหมายก็จะได้รับความเชื่อถือ ดังนั้นผู้ที่ทุจริตจะถูกต่อต้านและถูกลงโทษทั้งจากกฎหมายและสังคม ทั้งนี้เรามีหลักสูตรด้านการต่อต้านทุจริตที่กำหนดเป้าหมายให้สถานศึกษาทุกแห่งนำไปประยุกต์ใช้ในการจัดการเรียนการสอน เพื่อปลูกฝังให้คนในชาติคิดถึงผลประโยชน์ของส่วนรวม มีจิตสาธารณะ และละอายต่อการทำทุจริตทุกรูปแบบ “ทุกคนต้องรู้จักคิดและนำมาปฏิบัติ มีจริยธรรมรู้ว่าชาติ คืออะไร ประเทศคืออะไรเพราะทุกคนเป็นส่วนหนึ่งของประเทศ นายกฯ ทำคนเดียวไม่ได้” เราเห็นด้วยที่ทุกคนทุกฝ่ายต้องร่วมใจกันต่อต้านการทุจริต และตื่นรู้พร้อมต่อต้านการทุจริตในทุกรูปแบบ สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องปลูกฝังจิตสำนึกให้กับประชาชน มีวินัยและซื่อสัตย์ หากสร้างสองสิ่งนี้ให้เป็นนิสัยของคนไทยได้ การต่อต้านการทุจริตก็จะง่ายราวพลิกฝ่ามือ