ดูเหมือนจะกลายเป็นปัญหาที่เวียนมาเป็นประจำทุกปี สำหรับปัญหาน้ำท่วมและปัญหาน้ำแล้ง โดยระยะนี้เริ่มมีความเคลื่อนไหวในการแจ้งเตือนประชาชนให้รับมือกับสถานการณ์ภัยแล้ง โดยเฉพาะกลุ่มเกษตรกรที่ใช้น้ำเป็นปัจจัยในการผลิต โดยที่ประชุมคณะอนุกรรมการอำนวยการด้านบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ และประธานการประชุมคณะกรรมการแม่น้ำโขงแห่งชาติไทย ที่มี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน เมื่อวันที่ 14 พ.ย.ที่ผ่านมา ได้ติดตามความก้าวหน้าการดำเนินงานตามมาตรการรองรับสถานการณ์ภัยแล้งปี 2562/63 มอบหมายให้กระทรวงเกษตรฯ กำหนดมาตรการรองรับพื้นที่ปลูกข้าวนาปีต่อเนื่องปี 2562 โดยไม่ให้กระทบต่อแผนการจัดสรรน้ำฤดูแล้ง ปี 2562/63 เนื่องจากในช่วงฤดูฝนที่ผ่านมีการจัดสรรน้ำทั้งประเทศเกินแผน 1,350 ล้าน ลูกบาศก์เมตร ได้แก่ ลุ่มน้ำเจ้าพระยาใหญ่จัดสรรน้ำเกินแผน 495 ล้าน ลูกบาศก์เมตร ลุ่มน้ำภาคตะวันตกจัดสรรน้ำเกินแผน 579 ล้าน ลูกบาศก์เมตร และลุ่มน้ำภาคใต้จัดสรรน้ำเกินแผน 549 ล้าน ลูกบาศก์เมตร ขณะที่พื้นที่ปลูกข้าวนาปีจากข้อมูลดาวเทียมในวันที่ 7 พ.ย. 2562 พบว่า พื้นที่ปลูกข้าวนาปี 60.08 ล้านไร่ เก็บเกี่ยวแล้ว 17.11 ล้านไร่ ทั้งนี้ ยังมีพื้นที่เพาะปลูกข้าวนาปีต่อเนื่อง 1.35 ล้านไร่ แบ่งเป็นพื้นที่ในเขตชลประทาน 1.27 ล้านไร่ และพื้นที่นอกเขตชลประทาน 80,000 ล้านไร่ ขณะที่การประเมินพื้นที่ปลูกข้าวนาปรัง 2562/63 จากข้อมูลดาวเทียม ลุ่มน้ำเจ้าพระยา 21 จังหวัด มีพื้นที่ปลูกข้าวนาปรัง 229,803 ไร่ ทั้งนี้เขตชลประทานมี 8 จังหวัดที่น้ำไม่พอทำการเกษตร ได้แก่ สุพรรณบุรี อุทัยธานี ขอนแก่น ร้อยเอ็ด มหาสารคาม กาฬสินธุ์ บุรีรัมย์ ชัยภูมิ นายสมเกียรติ ประจำวงษ์ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เปิดเผยว่า ได้แจ้งให้ชาวนาทราบว่า ในพื้นที่ภาคกลางให้งดปลูกข้าวนาปรัง โดยเฉพาะพื้นที่ที่ต้องรับน้ำจากเขื่อนภูมิพลและเขื่อนสิริกิติ์ จะไม่มีน้ำส่งมาให้ ถ้าปลูกไปก็จะเกิดความเสียหาย ส่วนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ปลูกนาปรังได้บางพื้นที่ ยกเว้นพื้นที่รับน้ำจากเขื่อนอุบลรัตน์ จะมีพื้นที่ที่พอทำนารอบสองได้ บางพื้นที่ 7 จังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่ ลำปาง สกลนคร นครพนม นครราชสีมา ชลบุรี และระยอง ส่วนในพื้นที่นอกเขตชลประทาน มี 109 ตำบล 54 อำเภอ 20 จังหวัดที่เสี่ยงขาดน้ำเกษตร กระนั้น จากการวิเคราะห์ติดตามสภาพอากาศ และคาดการณ์ปริมาณฝนในเดือนพฤศจิกายนนี้ พบว่า ปริมาณฝนรวมในพื้นที่ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลาง จะมีค่าต่ำกว่าค่าปกติ 30% ภาคตะวันออก กรุงเทพมหานครและปริมณฑลจะมีปริมาณฝนรวมต่ำกว่าค่าปกติ 20% ส่วนภาคใต้ฝั่งตะวันออก และภาคใต้ฝั่งตะวันตก จะมีปริมาณฝนรวมใกล้เคียงค่าปกติ ส่วนเดือน ธ.ค.2562 ปริมาณฝนรวมทั้งประเทศต่ำกว่าค่าปกติ 50% และเดือน ม.ค. ปริมาณฝนรวมทั้งประเทศต่ำกว่าค่าปกติ 50% ส่วนภาคใต้ฝั่งตะวันออก และภาคใต้ฝั่งตะวันตกจะมีปริมาณฝนรวมใกล้เคียงค่าปกติ ขณะที่ปริมาณน้ำในแหล่งน้ำมีทั้งสิ้น 53,316 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็น 65% แหล่งน้ำขนาดใหญ่ 38 แห่ง ปริมาณน้ำใช้การ 23,768 ล้าน ลูกบาศก์เมตร คิดเป็น 50% โดยพบว่ามีถึง 10 เขื่อนขนาดใหญ่ที่มีปริมาณน้ำใช้การน้อยกว่า 30% เช่น เขื่อน ภูมิพล กระเสียว จุฬาภรณ์ อุบลรัตน์ ขณะที่แหล่งน้ำขนาดกลางน้ำน้อย 74 แห่ง ส่วนใหญ่อยู่บริเวณภาคเหนือ 28 แห่ง อีสาน 37 แห่ง นอกจากนี้ ที่ประชุมได้ติดตามสถานการณ์น้ำแม่น้ำโขงที่ลดลงในช่วงฤดูแล้ง โดยสถานการณ์เอลนีโญจะยังคงมีผลต่อภูมิภาคทำให้ไม่มีปริมาณฝนตกในพื้นที่ลุ่มน้ำโขง ซึ่งที่ประชุมได้พิจารณาทั้งมาตรการแก้ไขปัญหาระหว่างประเทศ และ มอบหมาย สทนช.เร่งดำเนินการใช้มาตรการด้านความร่วมมือระหว่างประเทศในการผลักดันและแก้ปัญหาแม่น้ำโขง แลกเปลี่ยนข้อมูลสถานการณ์น้ำแล้งในภูมิภาค และมาตรการภายในประเทศในระยะเร่งด่วนป้องกันผลกระทบกับวิถีชีวิตประชาชนและการประกอบอาชีพใน 3 ประเด็นหลัก คือ 1.จัดหาแหล่งน้ำสำรองและขุดเจาะบ่อน้ำบาดาล เพื่อสำรองปริมาณน้ำในการอุปโภค-บริโภค 2.มอบหมายกระทรวงมหาดไทยโดยจังหวัด (ริมแม่น้ำโขง) สร้างการรับรู้ความเข้าใจแนวโน้มสถานการณ์วิกฤติน้ำ ประชาสัมพันธ์ให้ผู้ใช้น้ำภาคการเกษตรและประมงได้รับทราบ 3.มอบหมายกระทรวงคมนาคมกำหนดมาตรการการขนส่งและการคมนาคมทางน้ำ รวมทั้งมาตรการรองรับการพังทลายของตลิ่งริมฝั่งโขงด้วย อย่างไรก็ตาม ทุกภาคส่วนคงต้องวางแผนการบริหารจัดการน้ำให้รวดเร็ว รอบด้านและรัดกุม เพื่อให้ประชาชนทั่วไป และเกษตรกรเตรียมรับมือกับปัญหาภัยแล้ง พร้อมเข้าไปให้การช่วยเหลือ โดยต้องบูรณาการทุกฝ่าย เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหาย หรือบรรเทาความเดือดร้อนให้น้อยที่สุด ด้วยสถานการณ์เศรษฐกิจที่ชะลอตัวปลายปี หากปล่อยให้เกิดปัญหาภัยแล้งเข้ามากระทบอีก ก็จะยิ่งซ้ำเติมเศรษฐกิจ และค่าครองชีพของประชาชน