สถาพร ศรีสัจจัง  โลกวัชชะ(อ่านว่า “โล-กะ-วัด-ชะ”) เป็นคำสำคัญคำหนึ่งในพระพุทธศาสนา พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตสถาน ให้ความหมายไว้ว่า “น.โทษทางโลก อาบัติที่เป็นโทษทางโลก ข้อเสียหายที่ชาวโลกติเตียนว่าไม่เหมาะสมกับสมณะ คือสิ่งที่ภิกษุหรือคนทั่วไปที่ไม่ใช่ภิกษุทำก็เป็นความผิดเสียหายเหมือนกัน เช่น ทำโจรกรรม ฆ่ามนุษย์ และทะเลาะวิวาท.(ป.).” ท่านมหาเปรียญลาพรตประจำวงสภากาแฟอธิบายย้ำว่า ในพระพุทธศาสนานั้น หากภิกษุใดทำกิจที่เป็นโลกวัชชะเป็นอาจิณ ถือเป็นปาราชิก คือหมดสภาพจากความเป็นพระ ต้องถูกสึกเป็นออกไปเป็นชาวบ้านธรรมดา         แถมต่อท้ายด้วยน้ำเสียงหนักแน่นเป็นเชิงย้ำ เหมือนต้องการให้สมาชิกในวงเห็นจริงว่า กรณีพระไชยบูลย์ ธมฺมชโยแห่งสำนักธรรมกายนั้น โดยการปฏิบัติตัวในวันเวลายาวนานที่ผ่านมาและโดยพระวินิจฉัยตามปรากฏในพระลิขิตสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ก่อนหน้านี้ บอกชัดว่านอกจากจะหมดสภาพพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาเพราะอวดอุตริ มนุสธรรมแล้ว ยังหมดไปเพราะเหตุแห่งการทำ “โลกวัชชะ” เป็นอาจิณอีกด้วย เรื่องการหมดสภาพจากความเป็นพระของพระไชยบูลย์ ธมฺมชโยแห่งสำนักธรรมกายจึงเป็น “สิ่งที่เห็นจริงแล้ว” (ถ้าอิงหลักการใช้เหตุผลแบบเรขาคณิต)! ส่วนเรื่องการอ้างว่าเพราะประเทศไทยไม่เป็นประชาธิปไตย(เพราะรัฐบาลไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง)จึงไม่ยอมมอบตัวเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมเพื่อสู้ความในคดีรับของโจรฟอกเงิน และข้อหาฉกรรจ์อื่นๆอีกเป็นจำนวนมาก เช่น บุกรุกป่าสงวน เป็นต้น นั้น จึงฟังไม่ขึ้นและไม่เกี่ยวข้องกับสถานะความเป็นพระหรือไม่เป็น เพราะสิ่งนั้นเป็นคดีทางโลก ไม่เกี่ยวกับเรื่องทางธรรมแต่อย่างใด ในแง่กฎหมาย บุคคลดังกล่าวจึงเหลือสภาพเป็นเพียงคนหนีคดีธรรมดาๆคนหนึ่งเท่านั้น ส่วนการที่บรรดา “ผู้ศรัทธา” หรือ “สาวก” ในสำนักธรรมกาย ทั้งที่เป็นพระภิกษุและฆราวาส ร่วมกันก่อการต่างๆทางสังคมเพื่อผลด้านใดด้านหนึ่งแก่บุคคลผู้นี้ ก็เป็นเรื่องของศรัทธาปสาทะของแต่ละบุคคลและกลุ่มบุคคล สิ่งไหนที่ทำแล้วผิดกฎหมายก็ต้องผิดกฎหมายอยู่เป็นปรกติ และการที่หน่วยงานของรัฐหลายหน่วย ที่นำโดยหน่วยชื่อ “ดีเอสไอ.” ยกพหลพลโยธาปิดล้อมเพื่อบุกค้นเพื่อจับตัว “ผู้ต้องหาหนีหมายจับ” คือบุคคลที่ชื่อพระไชยบูลย์ ธมฺมชโยที่เชื่อว่าหลบซ่อนตัวอยู่ในวัดพระธรรมกาย โดยใช้เวลาตั้งนานสองนาน และเอาจริงเอาจังถึงขนาดต้องให้นายกฯลุงตู่ ขวัญใจชาวสภากาแฟต้องประกาศใช้ม.44 ควบคุมพื้นที่เพื่อความสะดวกปลอดภัยของคณะทำงานนั้น ก็เป็นเพียง “หน้าที่” ปกติทั่วไปของพวกเขาประการหนึ่งเท่านั้น ใครจะเห็นด้วยไม่เห็นด้วย จะเสียประโยชน์ได้ประโยชน์ จะเห็นว่า “ดีเอสไอ” ทำดีแล้วหรือห่วยแตกควรถูกยุบกรม จะเห็นว่าเป็นการเอาเงินภาษีของชาวบ้านมา “ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ” หรือจะเห็นว่าเป็นภารกิจที่ส่งผลคุ้มค่าในหลายด้าน ฯลฯก็ว่ากันไปตามสันดานของแต่ละฝ่ายแต่ละคน ท่านมหาเปรียญลาพรตแห่งวงสภากาแฟสรุปส่งท้ายในเรื่องนี้แต่เพียงว่า : “ คนที่มีสำนึกเป็นพุทธบริษัทจริง ไม่ว่าจะเป็นภิกษุภิกษุณี อุบาสกหรืออุบาสิกา ย่อมรู้อยู่แก่ใจดีว่า เรื่องของสัตว์โลกนั้นย่อมเป็นไปตาม'กรรม'ที่ก่อ “กรรมวิบาก” ที่ตามมาจะชี้ชัดว่าอะไรเป็นอะไร ดังพุทธพจน์ที่ว่า “กลฺยาณการี กลฺยาณํ ปาปการี จ ปาปกํ ผู้ทำกรรมดีย่อมได้รับผลดี ผู้ทำกรรมชั่วย่อมได้ผลชั่ว” และ “อถปาปานิ กมฺมานิ กรํ พาโล น พชฺฌติ/เสทิ กมฺเมหิ ทุมฺเมโธ อคฺคิทฑฺโตว ตปฺปติ เมื่อคนโง่มีปัญญาทราม -ทำกรรมชั่วอยู่ก็ไม่รู้สึก เขาเดือดร้อนเพราะกรรมของตน เหมือนถูกไฟไหม้” เอวังก็มี ด้วยประการฉะนี้แล...!!!