แค่เปิดฉากของการแสวงหาจุดร่วมมือในเบื้องต้น เพื่อนำไปสู่การแก้รัฐธรรมนูญ ฉบับ 2560 ก็ดูเหมือนว่าความขัดแย้ง ความวุ่นวายได้เกิดขึ้น อย่างไม่หยุดหย่อน โดยเฉพาะพรรคประชาธิปัตย์ กับพรรคพลังประชารัฐ แม้จะเป็นพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกัน ก็ใช่ว่า งานนี้จะมีใครยอมใคร ลำพังการเริ่มเกม ก็เหมือนกับว่าต่างฝ่ายต่างกำลังเจอกับ “ทางตัน” เพราะไม่มีใครยอมล่าถอย มิหนำซ้ำล่าสุด มีความเคลื่อนไหวจากปีกพรรคประชาธิปัตย์ ว่า “แกนนำพรรค”กำลังเดินสาย เจรจากับพรรคต่างๆเพื่อให้สนับสนุน “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” อดีตหัวหน้าพรรค ให้ได้เป็น “ประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ” ยิ่งเมื่อทางฝั่ง พรรคพลังประชารัฐ เองล่าสุด “สุชาติ ตันเจริญ” รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 เสนอตัวแล้วว่า พร้อมที่จะเข้าไปทำหน้าที่ประธานคณะกรรมาธิการฯ พรรคประชาธิปัตย์ ยิ่งไม่อาจอยู่เฉยต่อไปได้ ! นับวันเกมงัดข้อประลองกำลังระหว่าง 2พรรคร่วมรัฐบาล มีแต่จะชัดเจนว่า ต่างฝ่ายต่างต้องการชิงการนำ ในวาระการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้ แม้ “จุดประสงค์” และ “เป้าหมาย” อาจจะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แน่นอนว่าสำหรับพรรคประชาธิปัตย์แล้ว ได้ตั้งธงเอาไว้แล้วว่าการแก้รัฐธรรมนูญฉบับ 2560จะต้องเกิดขึ้น เพราะได้ให้ “พันธะสัญญา”เอาไว้ตั้งแต่เมื่อคราวหาเสียงในการเลือกตั้ง 24 มี.ค.2562 ที่ผ่านมา แต่สำหรับพรรคพลังประชารัฐ เองต้องทำหน้าที่ “ปกป้อง”รัฐธรรมนูญฉบับนี้ ให้ถูกแก้ไข น้อยที่สุด เพราะอย่าลืมว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ถูกร่างขึ้นมาโดยคณะกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) 1ในแม่น้ำ 5 สายของคณะรักษาความมั่นคงแห่งชาติ (คสช.) นั่นเอง เมื่อเป้าหมาย และวัตถุประสงค์ระหว่างประชาธิปัตย์และพลังประชารัฐ แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ดังนั้นจึงไม่ต้องแปลกใจที่จะพบว่าเหตุใด จึงไม่มีใครยอมใคร แต่ต่างพยายามช่วงชิง “การนำ” ในตำแหน่งประธานคณะกรรมาธิการฯชุดดังกล่าวให้ได้ อย่างไรก็ดี สำหรับพรรคประชาธิปัตย์แล้ว ต้องหันไปใช้แผนการเล่นในรูปแบบของการสร้างแนวร่วม จากพรรคร่วมรัฐบาลพรรคอื่นไปจนถึง “พรรคฝ่ายค้าน” เพราะไม่เช่นนั้นแล้ว โอกาสจะถูกปิดตายทั้งเก้าอี้ประธานฯ ไปจนถึง “เนื้อหาสาระ” ในการแก้ไข จะไป “เข้าทาง” พรรคพลังประชารัฐ เป็นหลัก ขณะเดียวกัน พรรคพลังประชารัฐเอง ก็จะไม่ยอม เสียที่นั่งประธานฯ ไปอีกเช่นกัน หลังจากที่ก่อนหน้านี้ ต้องยอมยกเก้าอี้ “ประธานสภาฯ”ให้กับ “ชวน หลีกภัย” ประธานที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ ไปครอง ด้วยความเสียดายมาแล้ว แต่ทว่าบริบทและเงื่อนไขในครั้งนั้น ได้กดดันให้พรรคพลังประชารัฐ ไปจนถึง “บิ๊กคสช.” ต้องเป็นฝ่าย “ยอมจำนน” เพราะต้องการจำนวนที่นั่งของพรรคประชาธิปัตย์ให้มาร่วมรัฐบาล มาถึงวันนี้ สถานการณ์เปลี่ยน เมื่อการเข้าร่วมรัฐบาลล่วงเลยผ่านพ้นมาแล้ว และแน่นอนว่าพลังประชารัฐ จะต้องหาทางปกป้องรัฐธรรมนูญฉบับคสช.ไปในคราวเดียวกัน ด้วยเหตุนี้ เก้าอี้ประธานฯ ในฐานะคนนั่งคุมเกมแก้รัฐธรรมนูญจึงมีความสำคัญ มีความหมายต่อพลังประชารัฐ อย่างมาก ทั้งนี้มีรายงานว่า แท้จริงแล้ว ชื่อของ สุชาติ ตันเจริญ อาจยังไม่ใช่ “คำตอบสุดท้าย” ที่พรรคพลังประชารัฐ จะส่งลงมาชนกับอภิสิทธิ์ ต้องรอความชัดเจนในสัปดาห์หน้า จึงจะพอเห็นโฉมหน้าของจริง !