ยังไม่ทันได้เริ่มนับหนึ่ง “วาระเร่งด่วน” ที่ว่าด้วยการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ฉบับ 2560 ก็พลันปรากฎว่ากระแส “ต่อต้าน” ไปจนถึง “การตีรวน” ผุดขึ้นมาเป็นระลอกแล้ว ระลอกเล่า !
ก็เป็นอย่างที่ “อนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด” รองโฆษกพรรคเพื่อไทย ออกมาระบุว่า ไม่ได้รู้สึกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเกินไปจากความคาดหมาย ว่า “พลังประชารัฐ” จะต้องออกมาเล่นบท “ตีรวน” ตามที่เห็น ไม่ว่าจะเป็นการออกมา “ประกาศจับจอง” เก้าอี้ตัวสำคัญ คือ “ประธานคณะกรรมาธิกาาวิสามัญแก้ไขรัฐธรรมนูญ” ว่า “ตามมารยาท” แล้วจะต้องตกเป็นของ “พรรคใหญ่”
แม้จะเป็นการ “สวนกระแส” จาก กองเชียร์ น้อยใหญ่ที่พากันออกตัว “หนุน” ชื่อ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่มีชื่อว่าเหมาะสมที่จะนั่ง “ประธานกมธ.”ชุดนี้ก็ตามที
แต่สำหรับพรรคพลังประชารัฐ ในฐานะแกนนำรัฐบาลแล้ว นี่ย่อมไม่ใช่ “สาระหลัก” หรือเรื่องที่จะต้อง “เกรงใจ” พรรคร่วมรัฐบาล อย่างประชาธิปัตย์ ที่ชูวาระว่าด้วยการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ในการหาเสียงเลือกตั้ง ส.ส.ที่ผ่านมา
ในทางกลับกัน พรรคพลังประชารัฐ จะต้องเร่งประกาศ “จองเก้าอี้” ประธาน กมธ.ชุดดังกล่าว เพื่อชิงตัดหน้า ก่อนใครเพื่อนด้วยซ้ำ !
เพราะไม่เช่นนั้นแล้ว “เกมแก้รัฐธรรมนูญ” อาจถูกกำหนดและขีดเส้นโดยพรรคอื่น จนเกมถลำไปสู่โอกาสและความเป็นไปได้ที่จะได้แก้รัฐธรรมนูญฉบับ 2560 กันขึ้นมาจริงๆ ฝ่ายที่จะ “ตกที่นั่งลำบาก” จะเป็นใครอื่นไปไม่ได้ นอกเสียจาก “รัฐบาล” ไปจนถึง “บิ๊กคสช.”
ดังนั้นหากมองในมุมของรัฐบาลแล้วบทบาทของ พรรคพลังประชารัฐอันจะทำหน้าที่เป็นเสมือน “หัวหอก” เพื่อพิทักษ์รัฐธรรมนูญฉบับ คสช. ก็คงไม่ใช่เรื่อง “เหนือความคาดหมาย” ในสายตาของ “พรรคฝ่ายค้าน”
ประเด็นที่ลึกไปกว่าการช่วงชิงเก้าอี้ “ประธาน” ในคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ที่จะเริ่มนับหนึ่งต่อการแก้รัฐธรรมนูญฉบับ 2560 ย่อมทับซ้อนไปด้วย ชั้นเชิงการต่อสู้ทางการเมือง ระหว่าง “พรรคร่วมรัฐบาล” ด้วยกันเอง โดยเฉพาะ พรรคประชาธิปัตย์ในฐานะ โต้โผใหญ่ ชูธงแก้รัฐธรรมนูญ มาตั้งแต่แรก
กับพรรคพลังประชารัฐ ที่ชัดเจนอยู่ในทีว่า จะอย่างไร จึงพิทักษ์รัฐธรรมนูญฉบับนี้เอาไว้ให้ได้ หรือหากเลี่ยงไม่ได้ต้องมีการแก้ไข ก็จะต้อง “ไม่แตะ” สาระสำคัญที่สร้างความได้เปรียบต่อ ฝ่ายรัฐบาล
ล่าสุดบรรยากาศการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ยิ่งปะทุหนักมากขึ้น เมื่อ “เสรี สุวรรณภานนท์” ส.ว. ออกมาส่งสัญญาณแรงชัดแล้วว่า “ไม่เอาด้วย” !
โดยยก 3 เหตุผลหลัก ๆ ว่า 1.ข้อเสนอที่จะขอให้แก้ไขรัฐธรรมนูญยังไม่ชัดเจนว่า
2.ยังไม่เห็นปัญหาของการใช้รัฐธรรมนูญฉบับนี้
3.ส.ว.ยังมีหน้าที่ต้องควบคุมดูแลความเรียบร้อยในช่วงเปลี่ยนผ่านประเทศ 5 ปี
พร้อมทั้งทิ้งทวนเอาไว้ด้วยว่า “ ส.ว.ยังไม่ผลีผลามที่จะไปเข้าร่วมหรือเสนอความเห็นใดๆเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และจะต้องมีความรอบคอบ เพราะจะต้องใช้เสียง ส.ว.1ใน 3 ร่วมออกเสียง 1 ใน 3 ในการแก้รัฐธรรมนูญวาระ 1” (5 พ.ย.2562)
อย่าลืมว่า “250 ส.ว.” นั้นมาจากการทำคลอดโดย คสช. และเมื่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ถูกดึงให้เข้าสู่กลไกของรัฐสภา นั่นหมายความว่า “เสียง ส.ว.” มีความสำคัญและจำเป็นตาม “เงื่อนตาย” ที่ถูกวางเอาไว้ในรัฐธรรมนูญ 2560
ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้ว มีหรือที่ “250 ส.ว.”จะยอมหักหลัง “คสช.” !