เมื่อการแก้ไข “รัฐธรรมนูญฉบับ 2560” กำลังกลายเป็นทั้ง “วาระแห่งชาติ” ไปจนถึง “เรื่องร้อน” สำหรับทุกฝ่ายที่จะเข้ามาเกี่ยวข้อง ทั้งทางตรงและทางอ้อม ทั้งพรรคการเมืองฝ่ายค้าน และฝ่ายรัฐบาล ภายใต้ “ความเห็น” และ “จุดยืน” ที่แตกต่างกัน ที่สุดแล้ว ย่อมจะกลายเป็น “วาระร้อน” ที่ชวนให้ “รวน” กันตั้งแต่เพิ่ง “เริ่ม” !
ไม่ว่าจะเป็น ทางปีก “ฝ่ายค้าน” หรือ “ฟากรัฐบาล” เองก็ดูเหมือนว่า ต่างฝ่ายต่างมี “เงื่อนไข” ไปจนถึง “ปัญหาภายใน” ที่กำลังจะลุกลามออกมาจนอาจกระทบกับวาระแห่งชาติ ว่าด้วยการแก้รัฐธรรมนูญ
“7พรรคฝ่ายค้าน” เตรียมจะนัดหารือร่วมกัน เพื่อหาข้อสรุปที่ชัดเจน ในประเด็นสำคัญ ทั้ง การเลือกตัวแทนกมธ.ให้เข้ามาเป็นประธานคณะกมธ. แก้รัฐธรรมนูญ โดยต้องเป็นผู้ที่ “ทุกฝ่ายยอมรับ” และ “เป็นกลาง” มากพอ ซึ่งงานนี้ “ภูมิธรรม เวชยชัย” ที่ปรึกษาผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ได้ออกมาวางกรอบเอาไว้อย่างน่าสนใจ
หมายความว่า เวลานี้แม้จะมีการ “โยนหินถามทาง” มาจากหลายทิศหลายทาง ด้วยการเสนอชื่อ ผู้ที่จะเข้ามานั่งเป็น “ประธานคณะกรรมาธิการ” นั่งหัวโต๊ะเพื่อกำกับและผลักดันวาระการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ด้วยกันสารพัดชื่อ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า ทุกอย่างได้ข้อยุติลงไปแล้ว
เช่นเดียวกันกับ เมื่อมองไปยังความเคลื่อนไหวของ ฝ่ายพรรคร่วมรัฐบาลเอง ที่ล่าสุดมีการโยนชื่อ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ว่ามีความเหมาะสมที่จะเข้ามานั่งในฐานะ ประธานคณะกรรมาธิการฯ
แต่ล่าสุด กลับเกิดรายการ “ติดเบรค”กระทันหัน ทั้งจากสัญญาณที่ดังออกมาจากประชาธิปัตย์เอง ไปจนถึงจาก “พรรคพลังประชารัฐ” พรรคแกนนำรัฐบาล ที่บอกเลยว่าเก้าอี้ประธานคณะกรรมาธิการฯชุดนี้นั้น จะต้องเป็นของ พรรคแกนนำรัฐบาล อย่างพลังประชารัฐ เท่านั้น !
“ เป็นเรื่องปกติของกรรมาธิการคณะใหญ่ๆ ที่จะต้องเป็นแกนนำพรรครัฐบาล แต่เนื่องจากพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ได้เป็นแกนนำพรรครัฐบาล ซึ่งการเสนอชื่อนายอภิสิทธิ์ นั้นมีสิทธิที่จะเสนอได้ แต่ตามหลักและมารยาท จะต้องเป็นพรรคใหญ่ที่สุดของรัฐบาล นั่งเป็นประธานกรรมาธิการฯ”
สัญญาณแรงชัดจาก “วีระกร คำประกอบ” ส.ส.นครสวรรค์ พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) ที่บอกอย่างไม่ต้องอ้อมค้อม ว่าเก้าอี้ประธานกรรมาธิการฯ ชุดนี้ จะไม่มีทางเป็นชื่อ ของ “พรรคร่วมรัฐบาล” พรรคอื่น อย่างแน่นอน
อย่าลืมว่า วาระการแก้รัฐธรรมนูญฉบับคสช. นั้นถือว่ามีความสำคัญอย่างยิ่ง และต่อทุกๆฝ่าย !
สำหรับพรรคฝ่ายค้าน ที่นำโดย พรรคอนาคตใหม่ และพรรคเพื่อไทย แล้วคงต้องบอกว่านี่คือ “เป้าหมาย” ที่จะต้องจับมือกัน เพื่อผลักดันให้ลุล่วงหรือ “เข้าใกล้ความจริง” มากที่สุด ไม่เช่นนั้นแล้ว มรดกของคสช.ก็ยังอยู่ต่อไป กลายเป็น “กับดัก” ของฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล ในสายตาของพรรคฝ่ายค้าน ไม่มีจบสิ้น
และเช่นเดียวกันกับที่ พรรคพลังประชารัฐ เองที่แม้ไม่มีท่าทีที่ชัดเจนว่าจะ “หนุน” ให้มีการแก้รัฐธรรมนูญ ก็ตาม แต่การที่จะให้พรรคพลังประชารัฐ เป็น “หัวหอก” ถือธงนำในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ฉบับที่ “บิ๊กคสช.” ได้สร้างขึ้นมาโดยผ่านกลไก จาก “แม่น้ำห้าสาย” ก็ดูจะเป็นเรื่องที่ “เป็นไปได้ยาก “
ในทางกลับกันสำหรับพรรคพลังประชารัฐ แล้วนี่อาจนับเป็น “ภารกิจสำคัญ” ที่จะต้องลง “มือดี” ลงมา “คุมงาน” ด้วยตัวเองต่างหาก ว่าจะต้องมีการ “รื้อรัฐธรรมนูญ” กันขึ้นมาจริงๆแล้ว คสช.ในภาคปัจจุบัน จะยอมเปิดทางตรงไหนได้บ้าง โดยที่สูญเสียน้อยที่สุด !