ปิดฉากไปแล้วสำหรับการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 35 ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพในครั้งนี้ เป็นการประชุมครั้งสำคัญ โดยถือเป็นครั้งสุดท้ายในฐานะประธานอาเซียน ที่มีพิธีส่งมอบตำแหน่งประธานอาเซียนให้กับประเทศเวียดนามไปเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน2562
โดยพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม กล่าวตอนหนึ่งในการเป็นประธานพิธีเปิดการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 35 ระบุว่า ปัจจุบันอาเซียนและโลกเผชิญกับความท้าทายและความไม่แน่นอนเพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ซึ่งในปีนี้มีแนวโน้มจะขยายตัวต่ำสุดในรอบ10ปีจากการคาดการณ์ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศหรือไอเอ็มเอฟ การแข่งขันทางภูมิยุทธศาสตร์ทั้งในระดับโลกและระดับภูมิภาค สะท้อนออกมาในรูปของความขัดแย้งทางการค้าและปัญหาอื่น ระหว่างบางประเทศ ความท้าทายต่อระบบพหุภาคีนิยม ปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ มีมูลค่าสูงถึงดแสนล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี เทคโนโลยีที่พัฒนาอย่างก้าวกระโดด ไปจนถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศปัญหาสิ่งแวดล้อมและขยะทะเล ดังนั้น ความเป็นหุ้นส่วนและมิตรภาพที่แน่นแฟ้นจึงมีความสำคัญยิ่งที่จะทำให้ภูมิภาคเราที่ครอบคลุมพื้นที่มหาสมุทรแปชิฟิกและมหาสมุทรอินเดียสามารถรับมือและก้าวข้ามความท้าทายเหล่านี้ไปได้
กระนั้น อาเซียนจำเป็นต้องมีกระบวนทัศน์ใหม่สำหรับการเติบโตทางเศรษฐกิจที่มีพลวัต มีความยั่งยืนและครอบคลุมทุกภาคส่วนไม่ทิ้งใครข้างหลัง โดยต้องให้ความสำคัญกับการพัฒนาทุนมนุษย์ และการรักษาสภาพแวดล้อมควบคู่กันไป โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาขยะทะเลด้วยการดำเนินการตามกรอบการปฏิบัติงานอาเซียนว่าด้วยขยะทะเล ปัญหามลพิษทางอากาศด้วยการปฏิบัติตามข้อตกลงอาเซียนว่าด้วยมลพิษจากหมอกควันข้ามแดน และปัญหาประมง ด้วยการพัฒนาเครือข่ายอาเซียนเพื่อแก้ไขปัญหาการประมง ซึ่งทั้งหมดนี้ต้องพึ่งพาความร่วมมือกับหุ้นส่วนอาเซียนและมิตรประเทศ ความมั่นคงที่ยั่งยืนและการพัฒนาทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืน ที่กล่าวมานี้ จำเป็นต้องได้รับแรงสนับสนุนจากทั้งภายในและภายนอกภูมิภาค
ไฮไลต์สำคัญอยู่ที่ก่อนการประชุมสุดยอดอาเซียน มีประเด็นร้อนกรณีที่สหรัฐอเมริการะงับมาตรการสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร (จีเอสพี) แก่ประเทศไทยในสินค้า 573 รายการ ซึ่งโดนัล ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯไม่ได้เดินทางมาร่วมประชุมด้วย แต่ส่งผู้แทนมา ซึ่งรัฐบาลมีแผนจะหารือนอกรอบกับผู้แทนของสหรัฐฯที่เข้าร่วมประชุมเกี่ยวกับเรื่องนี้
ทั้งนี้ ข้อมูลจากสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า ระบุว่าปัจจุบันไทยเป็นคู่ค้าอันดับที่ 20 ของสหรัฐฯ ปี 61 มีมูลค่าการค้ารวม 44,321 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แบ่งเป็นสหรัฐ นำเข้าสินค้าจากไทย 31,872.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และส่งออกสินค้ามาไทย 12,448.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยสหรัฐขาดดุลการค้าไทย 19,424.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือไม่ต่ำกว่า 6 แสนล้านบาท ขณะที่สหรัฐ ถือเป็นตลาดส่งออกอันดับ 2 ของไทย หรือไทยส่งออกไปยังสหรัฐคิดเป็นสัดส่วน 11.2% ของการส่งออกรวมของไทยในปี 61 รองจากประเทศจีน ที่มีสัดส่วน 12%
อย่างไรก็ตาม ปัญหาการถูกตัดจีเอสพี นอกจากจะเป็นประเด็นที่ส่งผลกระทบต่อสถานการณ์เศรษฐกิจแล้ว ยังถูกนำมาเป็นประเด็นทางการเมืองด้วย ดังนั้นผู้เกี่ยวข้องจะเตือนไม่ให้ตื่นตระหนกกับปัญหาดังกล่าว แต่ก็ถือโจทย์ที่ท้าทายสำหรับรัฐบาลไทย ในการรับมือกับการเมืองระหว่างประเทศ การเจรจาต่อรองเพื่อผลประโยชน์ร่วมกัน พร้อมๆไปกับการรับมือการเมืองภายใน