การประชุมสภาผู้แทนราษฎรสมัยสามัญ ครั้งที่ 2 ประจำปี 2562 ที่จะเริ่มต้นในสัปดาห์นี้ อาจจะเป็น"ช่องทาง" ที่ทำให้ "7 พรรคฝ่ายค้าน" ได้มองเห็นถึงโอกาสที่จะเดินหน้าตรวจสอบ "รัฐบาล" ผ่านทั้ง ญัตติด่วน ไปจนถึงการประกาศ "จองกฐิน"ขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ แบบลงมติ ในสมัยประชุมสภาฯรอบนี้มีวาระที่น่าสนใจด้วยกัน 2 เรื่อง 2 ประเด็นที่พร้อมจะพัฒนาไปสู่ "ระเบิดเวลา" ทั้งต่อฝ่ายค้านและรัฐบาล ได้ทั้งคู่ นั่นคือ หนึ่ง ความเคลื่อนไหวของพรรคการเมืองทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาล โดยเฉพาะ "พรรคประชาธิปัตย์" จะอาศัยช่วงเวลานี้ เดินหน้าผลักดันให้มีการ "นับหนึ่ง" แก้รัฐธรรมนูญ ฉบับ 2560 และประเด็นที่ 2 คือการที่ "7 พรรคฝ่ายค้าน" จะต้องยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล แบบลงมติแม้ว่าก่อนหน้านี้ 7 พรรคฝ่ายค้านไม่สามารถ "สร้างผลงานชิ้นโบแดง"จากการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลแบบไม่ลงมติ เมื่อครั้งก่อน แต่ไม่ได้หมายความว่า จะกลายเป็น "อุปสรรค" บั่นทอน สกัดพรรคร่วมฝ่ายค้านแต่อย่างใด มิหนำซ้ำในทางกลับกัน ในสมัยประชุมสภาฯรอบนี้น่าจะถือเป็นจังหวะที่เปิดกว้างมากที่สุด ที่พรรคฝ่ายค้านจะใช้ "เวทีสภาฯ"เปิดเกมถล่มรัฐบาล ทั้งนี้ในประเด็นที่ว่าด้วยการแก้ไขรัฐธรรมนูญ นั้นน่าจับตาว่า "ศึกหนัก" อาจจะไปตกอยู่ที่ "พรรคประชาธิปัตย์" เพราะด้านหนึ่งประชาธิปัตย์เป็นหนึ่งในพรรคร่วมรัฐบาลของ "บิ๊กตู่" พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จะ "วางบทบาท"อย่างไรเพราะอย่าลืมว่ารัฐธรรมนูญฉบับที่หลายฝ่ายพากันร่ำๆ จะให้มีการแก้ไขนั้น ก็เป็นผลผลิตที่มาจาก "กลไก" ของ "คณะรักษาความสบแห่งชาติ" หรือ คสช. จนเป็นที่มาว่าเป็น"รัฐธรรมนูญฉบับ คสช." นั่นเอง อีกทั้ง พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะพรรคแกนนำรัฐบาลเองก็ไม่ได้มีท่าที ยืดอกเป็นเจ้าภาพหลักแต่อย่างใด แต่ทว่าเมื่อวาระการแก้รัฐธรรมนูญ ได้เดินมาสู่จังหวะที่ต้องเรียกว่า"เข้าทาง" เพราะพรรคร่วมฝ่ายค้านเองจะต้องใช้ วาระนี้ กดดันไปยังพรรคพลังประชารัฐ เพื่อกระทบชิ่งไปยัง"บิ๊กตู่"และ "บิ๊กป้อม"พล.อ.ประวิตรวงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะ "อดีตบิ๊ก คสช." ตัวจริง เสียงจริง ดังนั้นจึงไม่ต้องแปลกใจว่า ภาระอันหนักอึ้ง จะเทไปยังพรรคประชาธิปัตย์ ว่าจะเลือกดำเนินบทบาทเช่นใดแม้ล่าสุดประชาธิปัตย์ เตรียมส่ง"อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ คัมแบ็กกลับมานั่งในกรรมาธิการแก้รัฐธรรมนูญในฐานะ "คนนอก" จะเป็นการแสดงให้เห็นถึง "ความจริงใจ" จากประชาธิปัตย์ก็ตาม แต่ในขณะเดียวกัน ประชาธิปัตย์จะเดินหน้าในวาระสำคัญว่าด้วยการแก้ไขรัฐธรรมนูญ อย่างไรเพื่อรักษาสมดุล ทั้งในฐานะ พรรคร่วมรัฐบาลแต่ก็ต้องรักษาสัญญา ที่เคยให้เอาไว้เมื่อครั้งหาเสียงในการเลือกตั้ง 24 มี.ค. ที่ผ่านมา และที่สำคัญยังจะต้องไม่ให้พรรคตกเป็นส่วนหนึ่งของเกมการต่อรอง กดดันจาก " 7 พรรคฝ่ายค้าน"ในคราวเดียวกัน เมื่อมองมายัง ภารกิจการยื่นซักฟอกรัฐบาล ด้วยการขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ แม้ในความเป็นจริงแล้ว7 พรรคฝ่ายค้านเองจะมีความพร้อมหรือไม่ก็ตาม แต่ล่าสุดได้มีการวางกรอบกันเอาไว้เบื้องต้นแล้วว่า ในวันที่ 5 พ.ย.นี้จะมีความชัดเจน เรื่องเนื้อหาของการอภิปราย และคาดว่าจะสามารถยื่นญัตติไม่ไว้วางใจได้ก่อนวันที่ 20 ธ.ค.นี้ ทั้งนี้การยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลนั้น แน่นอนว่า พล.อ.ประยุทธ์ คือ "เป้าสังหาร" อันดับต้นๆ ที่ฝ่ายค้านจะไม่ยอม "พลาด"แต่ปัญหาอาจจะถูกโยนกลับไปยังพรรคฝ่ายค้านเอง เพราะอย่าลืมว่า ทั้งศึกวันแถลงนโยบาย และศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจโดยไม่มีการลงมติที่ผ่านมาฝ่ายค้านเองนอกจาก ไม่สามารถ "ทำแต้ม" ได้แล้ว ยังถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักว่า เล่นการเมืองไม่เลิกไม่รา แต่ถึงกระนั้น อย่าลืมว่า ในความเป็นจริงแล้ว พรรคการเมืองฝ่ายค้านเอง ที่ประสบกับภาวะ "ศึกใน"จนทำให้แต่ละพรรคปั่นป่วน เผชิญกับความขัดแย้งกันเอง ไปจนถึงการรับศึกจาก "คดีความ" ก็ล้วนแล้วแต่เป็น "ปัจจัย" ที่กดดันให้ต้องเร่ง "ถล่ม"รัฐบาล ก่อนที่ตัวเองจะอ่อนแรงกันลงไปมากกว่านี้ !