เสียงอึกทึกที่ “พรรคอนาคตใหม่” ยังไม่จบลงไปง่ายๆ หลังเสร็จศึกเลือกตั้งซ่อม ส.ส.นครปฐม เขต 5 ที่พรรคพ่ายจนหมดรูป ก็ถึงกับทำให้ “ฝั่งตรงข้าม “ออกมาเย้ยเยาะ ว่าบัดนี้ คนของพรรคอนาคตใหม่ ต่างพากัน “ขวัญเสีย” แต่แล้ว ยังกลายเป็นว่า ศึกนอกที่ว่าหนักหน่วง เมื่อหันกลับมาดู “ศึกใน” ก็ต้องบอกว่า สาหัสสากรรจ์ไม่แพ้กัน ตามโปรแกรมการเมืองแล้ววันนี้ (28 ต.ค.) บรรดา “อดีตผู้สมัคร” ของพรรคอนาคตใหม่ราว 50 คนจะพาไปกันเดินทางไปยังสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพื่อยื่นหนังสือขอลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรค และยังมีข่าวว่า ยังจะมีสมาชิกพรรคอีก 150 คน เตรียมมายื่นใบลาออกเป็นคิวต่อไป สาเหตุหลักๆ สืบเนื่องมาจากปัญหาการบริหารจัดการของ “แกนนำพรรค” ทั้ง “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” หัวหน้าพรรค และ “ปิยบุตร แสงกนกกุล” เลขาธิการพรรค รวมถึงแกนนำพรรคที่ถูกจัดให้อยู่ใน “กลุ่มสายตรง” อยู่ในสายตาของหัวหน้าพรรค โดยหากย้อนกลับไปก่อนหน้านี้จะพบว่า มีสมาชิกพรรคอนาคตใหม่ คือ “ชาญวิทย์ ใจสว่าง” อดีตผู้สมัคร ส.ส. เขต 1 ชุมพร พรรคอนาคตใหม่ ได้เขียนข้อความขึ้นเฟชบุค โดยเปิดเผยถึง “ปัญหาภายใน” ว่ามีมากมาย ทั้งเรื่องการแบ่งชนชั้นกันในพรรค และที่ซ้ำร้ายไปกว่านั้นคือการมองเห็น “ผู้แพ้” เป็นแค่ขยะของพรรค พร้อมทั้งยืนยันว่าสิ่งที่ ปิยบุตร พยายามออกมาย้ำว่าไม่มีความขัดแย้งนั้นไม่เป็นความจริง อย่างไรก็ดี ก่อนหน้านี้ พรรคอนาคตใหม่ได้เผชิญกับปัญหาในสภาฯ เมื่อปรากฎว่ามี “งูเห่าสีส้ม” โดย มีส.ส.ของพรรคโหวตสวนในพ.ร.ก.การโอนอัตรากำลังพลฯแถมตามมาติดๆด้วยการยกมือสนับสนุน ร่างพ.ร.บ.งบประมาณ ฯ 2563 ของรัฐบาล จนเลขาฯพรรค อย่างปิยบุตร ต้องออกมาประกาศท่าที ขึงขังพร้อมทั้งสั่งตั้งกรรมการขึ้นมาตรวจสอบและลงโทษเบื้องต้น ส.ส.ของพรรคบางราย ด้วยการสั่งห้ามร่วมกิจกรรมกับพรรค แต่ถึงกระนั้น ใช่ว่า ส.ส.ของพรรคอนาคตใหม่ ที่ถูกตั้งกรรมการสอบ จะอยู่ในอาการยี่หร่ะ มิหนำซ้ำยังมีข่าวว่า ส.ส.บางคนของพรรค ดอดไปพบกับ “รัฐมนตรี” ที่ชื่อ “อนุทิน ชาญวีรกูล”รองนายกฯและรมว.สาธารณสุข ถึงทำเนียบรัฐบาล อาการที่ว่านี้ดูจะไม่ต่างจาก “หมูไม่กลัวน้ำร้อน” เพราะหาก พรรคมีมติขับออก ก็จะเข้าทางทันที นั่นคือส.ส.ที่ถูกขับออก จะสามารถย้ายไปอยู่สังกัดพรรคใหม่ได้ทันที ! สภาพการณ์ของพรรคอนาคตใหม่วันนี้ จึงคล้ายกับว่า “กลืนไม่เข้า คายไมออก” เพราะยังไม่มีใครบอกได้ว่า ภายในพรรคยังจะมีส.ส.ที่ออกมาโหวตสวนกับมติพรรคต่อจากนี้อีกหรือไม่ และจากนี้ไป ภาวะ “เลือดไหล” จะยุติลงได้หรือไม่ หรือจะกลายเป็นการ “ไขก๊อก” ตามมาจากสมาชิกพรรค และอดีตผู้สมัคร ส.ส.ของพรรค อีกหลายระลอก เพื่อตอบโต้ และให้บทเรียนแก่ “ธนาธร-ปิยบุตร” จนกลายเป็นการท้าทาย “ชนชั้นสูง” ในพรรคอนาคตใหม่ ด้วยหรือไม่ !?