การเข้ามากำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติและกรมสอบสวนคดีพิเศษหรือดีเอสไอ ด้วยตนเอง บทบาทล่าสุด ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในคดีสำคัญที่เพิ่งฟื้นกลับมาในห้วงเวลานี้ นั่นคือการหายตัวไปของนายพอละจี หรือบิลลี่ รักจงเจริญ แกนนำกะเหรี่ยงโป่งลึก-บางกลอย กว่า 5 ปี กระทั่งล่าสุด เจอชิ้นส่วนกะโหลกมนุษย์ ถูกฆ่าเผายัดถังน้ำมัน 200 ลิตรถ่วงแม่น้ำในป่าแก่งกระจาน โดยพล.อ.ประยุทธ์ ได้กำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ดำเนินการสืบสวนสอบสวนอย่างรัดกุมและหาตัวผู้กระทำความผิดมาให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม อย่างไรก็ดี นางอังคณา นีละไพจิตร อดีตกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เปิดเผยข้อมูลผ่านเพจเฟซบุ๊กถึงปัญหาการบังคับสูญหายในประเทศไทย โดยคณะทำงานด้านการบังคับสูญหายโดยไม่สมัครใจขององค์การสหประชาชาติ ได้เผยแพร่รายงานประจำปี 2562 ต่อที่ประชุมใหญ่คณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (Human Rights Council –HRC) ระบุจำนวนผู้ถูกบังคับสูญหายในไทย 86 ราย (กรณีเหตุการณ์พฤษภาทมิฬประมาณเกือบ 40 ราย, สถานการณ์ความไม่สงบใน จชต.ประมาณ 31 ราย, การปราบปรามยาเสพติดในภาคอีสาน รวมถึงกลุ่มชาติพันธ์ทางเหนือ ประมาณ 10 กว่าราย นอกจากนั้นมีกรณีบังคับสูญหายในกรุงเทพฯกรณีนายสมชาย นีละไพจิตร นายทะนง โพธิ์อ่าน และผู้สูญหายจากความขัดแย้งทางการเมือง) ซึ่งประเทศไทยนับเป็นประเทศที่มีผู้ถูกบังคับสูญหายมากเป็นลำดับ 3 ใน ASEAN รองจากฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย รายงานคณะทำงานฯ ยังระบุถึงการไม่ตอบสนองของรัฐบาลไทยต่อการร้องขอของคณะทำงานฯเพื่อมาเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการหลายครั้ง โดยครั้งล่าสุดคณะทำงานฯได้มีหนังสือร้องขอถึงรัฐบาลไทยเมื่อวันที่ 18 มกราคม 2562 ในการทบทวนรายงานสถานการณ์สิทธิมนุษยชนด้วยระบบ UPR เมื่อปี 2559 มีมิตรประเทศที่เป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติกว่า 10 ประเทศได้มีข้อเสนอแนะให้ประเทศไทยให้สัตยาบันอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการหายสาบสูญโดยถูกบังคับ (Involuntary or Enforced Disappearance) ซึ่งประเทศไทยได้ให้คำมั่นว่าจะปฏิบัติตามโดยมอบให้กระทรวงยุติธรรมดำเนินการ นอกจากนั้นคณะกรรมการด้านสิทธิมนุษยชนต่างๆขององค์การสหประชาชาติ (Human Rights Committee) ที่ประเทศไทยเป็นภาคี เช่น คณะกรรมการด้านสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR Committee), คณะกรรมการด้านสิทธิทางเศรษฐกิจสังคมและวัฒนธรรม (IECSCR Committee) รวมถึง คณะกรรมการด้านการต่อต้านการทรมาน (CAT Committee) ก็ได้มีข้อสรุปเชิงสังเกต และมีข้อเสนอแนะต่อรัฐบาลไทยให้สัตยาบันอนุสัญญาการบังคับสูญหายของสหประชาชาติ และให้มีกฎหมายภายในประเทศเพื่อให้การทรมานและการบังคับสูญหายเป็นอาชญากรรม มีการนำคนผิดมาลงโทษ และให้การเยียวยาแก่ครอบครัว อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 9 มกราคม 2555 ประเทศไทยได้ลงนามอนุสัญญาการบังคับสูญหายของสหประชาชาติ และวันที่ 24 พฤษภาคม 2559 ครม.มีมติส่งร่าง พ.ร.บ.ให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ พิจารณา ซึ่ง สนช. มีมติให้มีการพิจารณา พ.ร.บ. ว่าด้วยการทรมานและการบังคับสูญหายให้แล้วเสร็จก่อนจึงจะมีการให้สัตยบันอนุสัญญาฯ สนช. ใช้เวลาถึง 3 ปีในการพิจารณาแก้ไขร่าง พรบ.โดยระหว่างการพิจารณาขาดการมีส่วนร่วมของประชาชน จนสุดท้าย สนช.หมดวาระ พรบ. ฉบับนี้ก็ยังไม่ผ่านการพิจารณา และไม่สามารถประกาศใช้ได้ ซึ่ง พรบ.ฉบับนี้น่าจะเป็น พรบ.ที่ สนช.ใช้เวลาในการพิจารณาแก้ไขในสาระสำคัญนานที่สุด และล้มเหลวในการพิจารณากฎหมายให้มีความสอดคล้องกับอนุสัญญาบังคับสูญหายขององค์การสหประชาชาติ นางอังคณาจึงเรียกร้องให้รัฐสภาทบทวนมติ สนช. ในระหว่างที่ประเทศไทยไม่มีกฎหมายว่าด้วยการบังคับสูญหาย จึงควรพิจารณาให้สัตยาบันอนุสัญญาต่อต้านการบังคับสูญหายฯ ของสหประชาชาติโดยเร็ว เพื่อแสดงให้เห็นถึงการแสดงเจตจำนงทางการเมืองในการปกป้องคุ้มครองสิทธิของบุคคลทุกคนจากการถูกบังคับสูญหาย และย่อมได้รับการชื่นชมจากนานาประเทศ ทั้งนี้แนวปฏิบัติในการให้สัตยาบันอนุสัญญาฯก่อนที่จะมีการปรับปรุงกฎหมายภายในประเทศ ประเทศไทยสามารถมีข้อสงวนในการปฏิบัติตามอนุสัญญาฯได้ ตามที่ได้เคยปฏิบัติในการให้สัตยาบันอนุสัญญาระหว่างประเทศฉบับอื่นๆมาแล้ว เราเห็นว่านี่จะเป็นโอกาสที่รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ ได้พิสูจน์ว่าเดินตามวิถีประชาธิปไตย สะท้อนความจริงใจและเห็นคุณค่าของทุกชีวิต