ความคึกคักกำลังจะคืนกลับมาสู่เวทีสภาผู้แทนราษฎร อีกครั้ง โดยเฉพาะจะเป็นบรรยากาศที่เข้มข้น เพื่อปิดท้ายสมัยประชุมสภาฯ เมื่อฝ่ายรัฐบาลเลือกเอาวันที่ 18 ก.ย.ให้ฝ่ายค้านได้มีโอกาสอภิปรายไม่ไว้วางใจ “นายกรัฐมนตรี” ใช้เวลาถึง 14ชั่วโมงครึ่ง !
เวลานี้เชื่อแน่ว่า “พรรคฝ่ายค้าน” โดยเฉพาะ พรรคเพื่อไทยและพรรคอนาคตใหม่ 2พรรคใหญ่แกนนำหลัก ได้ตระเตรียมการเพื่อวางตัวผู้อภิปรายไปจนถึงการวาง “ประเด็น” ให้รัดกุม แต่ในขณะเดียวกันต้องเพิ่มความระมัดระวังเพราะอย่าลืมว่า ญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ นายกรัฐมนตรี ตามมาตรา 152 โดยไม่มีการลงมติรอบนี้นั้น คือประเด็นที่ว่าด้วยเรื่องของการถวายสัตย์ปฏิญาณตน ไม่ครบถ้วนตามรัฐธรรมนูญ อาจเกี่ยวโยงไปถึงสถาบันเบื้องสูง
ซึ่งงานนี้ฝ่ายรัฐบาล บอกแล้วว่าใครพูดอะไร ก็ต้องรับผิดชอบคำพูดของตัวเอง ยิ่งเมื่อมีความเป็นไปได้ว่าฝ่ายรัฐบาลยังเปิดทางให้มีการประชุมโดยเปิดเผย ไม่ต้องใช้การ “ประชุมลับ” จนทำให้ฝ่ายค้านเอง อาจจะต้องเป็นฝ่าย กลับตัวกันกระทันหัน
ในศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจ “บิ๊กตู่”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่จะมีขึ้นในวันที่ 18 ก.ย.โดยเริ่มเปิดฉากประชุมกันตั้งแต่เวลา 09.30-24.00น. จากนั้นจะยุติการอภิปรายฯ และแม้ฝ่ายค้านจะได้เวลาเพียง 1 วัน ขัดใจกับสิ่งที่ร้องขอ แต่ใช่ว่างานนี้ จะหมดโอกาสในการแสดงฝีมือ
โดยเฉพาะตัว “สมพงษ์ อมรวิวัฒน์” หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ที่ต้องแสดงบทบาท ในฐานะ “ผู้นำฝ่ายค้าน”ต้องโชว์ศักยภาพ ให้มากที่สุด เพราะศักยภาพของสมพงษ์ ยังไม่เพียงแค่เพื่อสร้างน้ำหนักให้แก่ตัวสมพงษ์ เองเท่านั้น แต่ยังต้องไม่ลืมว่า ข้างหลังสมพงษ์ ยังมีแรงหนุนจาก “เยาวภา วงศ์สวัสดิ์” น้องสาว “ทักษิณ ชินวัตร” ซึ่งมีบทบาทสำคัญในพรรคเพื่อไทย
ขณะเดียวกัน สำหรับพรรคอนาคตใหม่แล้ว แน่นอนว่า ขุนพลหลักที่จะถูกตามองมากที่สุด คงไม่พ้น “ปิยะบุตร แสงกนกกุล” ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ และเลขาธิการพรรค ที่จะลุกขึ้นอภิปราย ฯด้วยยกข้อกฎหมายขึ้นมาโจมตีการถวายสัตย์ ฯของพล.อ.ประยุทธ์ที่ไม่ครบถ้วนตามรัฐธรรมนูญ
และในคราวเดียวกัน นี่ยังถือเป็น “โอกาส” สำหรับพรรคอนาคตใหม่ เองด้วยว่า จะสามารถพ้นผ่านข้อหาที่ถูกโจมตีมาโดยตลอดหรือไม่ ต่อปมความจงรักภักดีต่อสถาบัน ซึ่งดูเหมือนจะเป็นคำถาม ที่ “เงื่อนปม” ที่รัดพรรคอนาคตใหม่ตลอดมา
ปิยะบุตร และส.ส.ของพรรคจะอภิปราย อย่างไรเพื่อไม่ให้ตัวเองตกเป็นฝ่ายที่ถูกตั้งข้อกังขา เสียเองว่ามีแนวคิดและทัศนคติที่เป็นอันตรายต่อสถาบัน ศึกซักฟอกในสภาฯครั้งนี้ คือโอกาสที่พรรคอนาคตใหม่จะแสดงความชัดเจนของตัวเองได้หรือไม่ และมากน้อยแค่ไหน
อย่างไรก็ดี โอกาสที่ว่านี้ยังต้องมองมายังตัว พล.อ.ประยุทธ์ เองด้วยว่าที่สุดแล้วจะผ่านพ้นปฏิบัติการยั่วยุ จากฝ่ายการเมืองไปได้มากน้อยแค่ไหน จะสามารถ “เก็บอาการ” ไม่พลาดซ้ำสองเหมือนเมื่อคราว ฟิวส์ขาดน็อตกหลุด ปะทะเดือดกับ “พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส” ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเสรีรวมไทย จนถึงขั้นตัดพี่ตัดน้องมาแล้ว
ทุกคนทุกฝ่ายต่างมี “โอกาส” ที่จะใช้ “โอกาส” จากเวทีซักฟอกรอบนี้ ก่อนปิดท้ายสมัยประชุมสภาฯด้วยกันทั้งสิ้น !