ทองแถม นาถจำนง
พระเครื่องที่เรียกกันว่า “พระกริ่ง” นั้น ข้าพเจ้าคิดว่าเป็นสิ่งที่แพร่มาจากจีน นิยมกันมากในยุคพระนคร(นครวัดนครธม)
“คึกฤทธิ์ ปราโมช” ท่านเขียนเรื่องเกี่ยวกับพระกริ่งไว้นิดหน่อย อยู่ในเรื่องที่ท่านเขียนถึงสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์
“พระกริ่งปวเรศ” เป็นพระกริ่งรุ่นแรกของกรุงรัตนโกสินทร์ เป็นพระกริ่งที่ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ วัดบวรนิเวศวิหาร ทรงสร้างขึ้น ทรงสร้างขึ้นเพื่อประทานแก่เจ้านายที่ทรงคุ้นเคยสนิทสนม และ เจ้านายที่ทรงเป็นพระอุปัชฌาย์ มีจำนวนน้อยมาก ไม่เกิน ๓๐ องค์ ทรงสร้างด้วยเนื้อนวโลหะ คว้านฐาน บรรจุเม็ดกริ่ง ปิดทับด้วยแผ่นทองแดง ซึ่งประวัติ พิธีการสร้าง ไม่มีจดบันทึกไว้ เป็นเพียงจากคำบอกเล่าและอ้างอิงกัน
สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์แห่งวัดบวรฯ เคยมีดำรัสถึงเรื่องพระกริ่งปวเรศนี้ว่า
"เท่าที่ฉันได้ยินมานั้น สมเด็จกรมพระยาปวเรศฯ ท่านทรงสร้างขึ้นด้วยพระองค์เอง มีจำนวนน้อยมากน่าจะไม่เกิน 30 องค์ ต่อมาได้ประทานให้หลวงชำนาญเลขา(หุ่น) ผู้ใกล้ชิดพระองค์นำไปจัดสร้างขึ้นอีกจำนวนหนึ่ง แต่หลวงชำนาญเอาไปเทนั้น จะมากน้อยเท่าใดฉันไม่ได้ยินเขาเล่ากัน”
เรื่องพระกริ่งเขมรที่ละเอียด มีอยู่ในพระนิพนธ์ของ สมเด็จกรมพระยาดำรงราชนุภาพ เรื่อง “นิราสนครวัด” ทรงพระนิพนธ์เมื่อ พ.ศ ๒๔๖๗ ต้นฉบับที่จะนำเสนอ คัดมาจากฉบับที่กรมวิชาการพิมพ์ พ.ศ ๒๔๘๒
“อนึ่งเราเที่ยวนี้ได้ตั้งใจสืบสวนการเรื่องหนึ่ง คือเรื่องพระพุทธรูปองค์เล็ก ๆ ซึ่งเรียกกันว่าพระกริ่ง เป็นของที่นับถือและขวนขวายหากันในเมืองเรามาแต่ก่อน กล่าวกันว่าเป็นพระของ พระเจ้าปทุมสุริวงศ์สร้างไว้ เพราะได้ไปจากเมืองเขมรทั้งนั้น
เมื่อครั้งรัชกาลที่ ๔ ระอมรโมลี (นพ) วัดบุปผาราม ลงมาส่งพระมหาปาน ราชาคณะธรรมยุติในกรุงกะมพูชาองค์แรก ซึ่งต่อมาได้เป็นสมเด็จพระสุคนธ์นั้น มาได้พระกริ่งขึ้นไปให้คุณตา (พระยาอัพถันตริกามาตย์) ท่านให้แก่เราแต่ยังเป็นเด็กองค์หนึ่ง เมื่อเราบวชเป็นสามเณรนำไปถวายเสด็จพระอุปัชฌาย์ (สมเด็จกรมพระปวเรศวริยาลงกรณ์) ทอดพระเนตร ท่านตรัสว่าเป็นพระกริ่งพระเจ้าปทุมสุริยวงศ์แท้ แทรงอธิบายต่อไปว่า พระกริ่งพระเจ้าปทุมสิรยวงศ์นั้นมี ๒ อย่าง เป็นสีดำอย่าง ๑ เป็นสีเหลืององค์ย่อมลงมากว่าสีดำอย่าง ๑ แต่อย่างสีเหลืองนั้นเราไม่เคยเห็น ได้เห็นของผู้อื่นก็เป็นอย่างสีดำทั้งนั้น ต่อมาเราอยู่กระทรวงมหาดไทย พระครูเมืองสุรินทร์เข้ามากรุงเทพฯ เอาพระกริ่งมาให้อีกองค์หนึ่ง ก็เป็นอย่างสีดำ ได้พิจารณาเปรียบเทียบกันดูกับองค์ที่คุณตาให้ เห็นเหมือนกันไม่ผิดเลย จึงเข้าใจว่าพระกริ่งนั้นเดิมเห็นจะตีพิมพ์ทำทีละมาก ๆ และรูปสัณฐานเห็นว่าเป็นพระพุทธรูปอย่างจีน
มาได้หลักฐานเมื่อเร็ว ๆ นี้ ด้วยราชทูตต่างประเทศคนหนึ่งเคยไปอยู่เมืองปักกิ่ง ได้พระกริ่งทองของจีนมาองค์หนึ่ง ขนาดเท่ากันแต่พระพักตร์มิใช่พิมพ์เดียวกับพระกริ่งพระเจ้าปทุมสุริยวงศ์ ถึงกระนั้นก็เป็นหลักฐานว่ พระกริ่งเป็นของจีนคิดแบบอย่าง ตามตำราในลัทธิฝ่ายมหายานเรียกว่า “ไภสัชคุรุ” เป็นพระพุทธรูปปางทรงถือเครื่องบำบัดโรค คือบาตรน้ำมนต์หรือผลสมอ เป็นต้น สำหรับบูชาเพื่อป้องกันสรรพโรคาพาธและอัปมงคลต่าง ๆ เพราะฉะนั้นพระกริ่งจึงเป็นพระสำหรับทำน้ำมนต์
เรามาเที่ยวนี้จึงตั้งใจจะสืบหาหลักฐานว่ำระกริ่งนั้นหากันได้ที่ไหนในเมืองเขมร ครั้นมาถึงเมืองนครเพ็ญ พบพระเจ้าพระสงฆ์ที่เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ลองไต่ถามก็ไม่มีใครรู้เรื่องหรือเคยเห็นพระกริ่ง มีออกญาจักรีคนเดียวบอกว่า สัก ๒๐ ปีมาแล้วได้เคยเห็นองค์หนึ่งเป็นของชาวบ้านนอก แต่ก็หาได้เอาใจใส่ไม่
ครั้นมาถึงพนะนครวัดจึงมาได้ความจากเมอร์ซิเออร์ มาร์ซาล ผู้จัดการรักษาโบราณสถานว่า เมื่อ ๒-๓ เดือนมาแล้ว เขาขุดซ่อมเทวสถานซึ่งแปลงเป็นวัดพระพุทธศาสนาบนยอดเขาบาเกง พบพระพุทธรูปเล็ก ๆ อยู่ในหม้อใบหนึ่งหลายองค์ เอามาให้เราดูเป็นพระกริ่งพระเจ้าปทุมสุริยวงศ์ทั้งนั้น มีทั้งอย่างดำและอย่างเหลือง ตรงกับที่เสด็จพระอุปัชฌาย์ทรงอธิบาย จึงเป็นอันได้ความแน่ว่าพระกริ่งที่ได้ไปยังประเทศเราแต่ก่อนนั้น เป็นของหาได้ในกรุงกัมพูชาแน่ แต่จะทำมาจำหน่ายจากเมืองจีน หรือพวกขอมจะเอาแบบพระจีนมาคิดหล่อขึ้นภายในประเทศขอม ข้อนี้ไม่ทราบ”
พระกริ่งในประเทศไทย นั้นต้องยอมรับว่า เจ้าตำรับการสร้างพระกริ่งในปัจจุบันนี้ ต้องยกให้วัดสุทัศน์เทพวราราม เนื่องจากมีชื่อเสียงโด่งดังและมีประวัติการสร้างพระกริ่งมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่พ.ศ. ๒๔๔๑ เป็นต้นมา
พระกริ่งยุครัตนโกสินทร์นั้น สร้างโดยฝีมือของช่างสิบหมู่ หรือ ช่างหลวง ตั้งแต่ พ.ศ. 2382 - พ.ศ. 2434 เป็นที่นิยมบูชากันมากตั้งแต่รัชกาลที่ ๔ สืบมาถึงปัจจุบัน
พระกริ่งปวเรศ เป็นพระเครื่องที่สร้างโดยกลุ่มคนของวังหน้า ประกอบด้วยยุคสมัยของผู้ที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ ทั้งผู้สร้าง และผู้อธิษฐานจิตที่มีบทบาทสำคัญมากคือสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) ร่วมอธิษฐานจิต
พระกริ่งปวเรศพิมพ์พิมพ์พิเศษจารึก อักษร "ปวเรศ" สร้างอธิษฐานจิตในวาระปี พ.ศ. 2394 เมื่อครั้งที่พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ขึ้นครองราชย์สมบัติคู่กับพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่เรียกสั้น ๆ ว่า "ปวเรศ" เป็นพระนามาภิไธยย่อของพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว กรมพระราชวังบวรสถานมงคล หรือ พระมหาอุปราช เรียกกันเป็นสามัญว่าวังหน้า เป็นตำแหน่งที่พระมหากษัตริย์ทรงสถาปนาขึ้น ซึ่งมีความสำคัญรองลงมาจากพระมหากษัตริย์ และมีฐานะเป็นองค์รัชทายาทผู้มีสิทธิ์ที่จะขึ้นครองราชสมบัติพระองค์ต่อไป
ต่อมา วัดที่มีชื่อเสียงเรื่องพระกริ่งคือวัดบวรนิเวศฯ และวัดสุทัศน์ฯ
สมเด็จพระสังฆราช(แพ ) วัดสุทัศน์ฯ ทรงสร้างพระกริ่งขึ้น เรื่องนี้ นายนิรันดร์ แดงวิจิตร (อดีตพระครูฐานานุกรมในเจ้าประคุณสมเด็จ (แพ ติสฺสเทวมหาเถร) ที่พระครูพิศาลสรคุณ, พระครูญาณวิสุทธิ, พระครูวินัยกรณ์โสภณ เป็นผู้รับใช้ใกล้ชิดในเจ้าประคุณสมเด็จ สนใจและศึกษาในพิธีกรรม
ตลอดจนการช่างฝีมือในการตกแต่งพระกริ่งทีเยี่ยมยอดที่สุดคนหนึ่ง) เล่าไว้ว่า
“ มูลเหตุที่ สมเด็จพระสังฆราช (แพ ติสฺสเทโว) วัดสุทัศนเทพวราราม ทรงสร้างพระกริ่งและพระชัยวัฒน์นั้น ทรงเล่าว่า เมื่อพระองค์ดำรงสมณศักดิ์เป็นพระศรีสมโพธิ์ ครั้งนั้น สมเด็จพระวันรัต (แดง) พระอุปัชฌาย์ของพระองค์ยังมีชีวิตอยู่ และครั้งหนึ่งสมเด็จพระวันรัต (แดง) ได้อาพาธเป็นอหิวาตกโรค
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ครั้งยังทรงเป็นกรมหมื่น เสด็จมาเยี่ยม เมื่อรับสั่งถามถึงอาการของโรคเป็นที่เข้าพระทัยแล้ว รับสั่งว่า ‘เคยเห็นกรมพระยาปวเรศฯ เสด็จพระอุปัชฌาย์ของพระองค์ อาราธนาพระกริ่งแช่น้ำอธิษฐาน ขอน้ำพระพุทธมนต์แล้วให้คนไข้เป็นอหิวาตกโรคกินหายเป็นปกติ พระองค์จึงรับสั่งให้มหาดเล็กที่ตามเสด็จไปนำพระกริ่งที่วัดบวรนิเวศ แต่สมเด็จฯ ทูลว่าพระกริ่งที่กุฎิมีสมเด็จพระมหาสมณเจ้า จึงรับสั่งให้นำมาแล้วอาราธนาพระกริ่งแช่น้ำอธิษฐาน ขอน้ำพระพุทธมนต์แล้วนำไปถวายสมเด็จพระวันรัต (แดง) เมื่อท่านฉันน้ำพระพุทธมนต์แล้วโรคอหิวาต์ก็บรรเทาหายเป็นปกติ
ข้าพเจ้าทูลถามว่า พระกริ่งที่อาราธนาขอน้ำพระพุทธมนต์นั้นเป็นพระกริ่งสมัยไหน พระองค์ท่านรับสั่งว่าจำไม่ได้ เข้าใจว่าเป็นพระกริ่งเก่าหรือไม่ก็คงเป็นพระกริ่งของสมเด็จกรมพระยาปวเรศฯ องค์ใดองค์หนึ่ง
ตั้งแต่นั้นมา พระองค์ก็เริ่มสนพระทัยในการสร้างพระกริ่งขึ้นเป็นลำดับ ทรงค้นหาประวัติการสร้างพระกริ่งและก็ได้เค้าว่า การสร้างพระกริ่งนี้มีมาแต่โบราณกาลแล้ว เริ่มที่ประเทศทิเบตก่อน ต่อมาก็ประเทศจีนและประเทศเขมรเป็นลำดับ”
ส่วนตำราสร้างพระกริ่งนั้นมีตำนานว่า ในยุคกรุงรัตนโกสินทร์นี้ เดิมเป็นตำราของสมเด็จพระวันรัต วัดป่าแก้ว สำนักอรัญญิกาวาสสมถธุระวิปัสสนาธุระแห่งกรุงศรีอยุธยา และมาอยู่ที่สมเด็จกรมพระยาปรมานุชิตชิโนรส ศรีสุคตขัตติยวงศ์ วัดพระเชตุพนฯ จากนั้นพระมงคลทิพย์มุนี (มา) วัดจักรวรรดิราชาวาส มอบให้สมเด็จพระสังฆราช (แพ) เมื่อครั้งยังทรงสมณศักดิ์เป็นพระเทพโมลี สมเด็จพระสังฆราช (แพ) สร้างพระกริ่งไว้หลายรุ่น และต่อ ๆ มาวัดสุทัศน์ฯ ก็สร้างพระกริ่งอีกหลายรุ่น