ทองแถม นาถจำนง หลาย ๆ คนยังโรแมนติคกับ “งานนายกรัฐมนตรี” นึกว่าโก้ นึกว่าสนุก นึกว่าเป็นเกียรติของวงศ์ตระกูล แต่ท่านรู้หรือเปล่าว่า แค่งานเซ็นหนังสือราชการ (โดยมิได้ศึกษารายละเอียดด้วย)ก็ยังทำให้ทันได้ยากแล้ว ยิ่งถ้าจะอ่านทุกเรื่องอย่าง “ชวน หลีกภัย” แล้วก็ต้องหอบหนังสือราชการไปอ่านที่บ้านตอนดึก ๆ ทุกวัน งานของนายกรัฐมนตรีนั้น แค่เซ็นหนังสืออย่างเดียวก็แทบไม่ทันแล้ว ไม่ต้องพูดถึงเรื่องการอ่านรายละเอียดของหนังสือที่เสนอมาให้เซ็น เพราะอ่านไม่ทันหรอกครับ ม.ร.ว คึกฤทธิ์ ปราโมช เคยเขียนแสดงความสงสารนายกรัฐมนตรีท่านหนึ่งคือคือ จอมพลถนอม กิตติขจร (บทความนี้ลงพิมพ์เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2508) นายกรัฐมนตรีไทยต้องทำงานหนักจริง ๆ งานหลายอย่างไม่น่าจะต้องเป็นหน้าที่ของนายกรัฐมนตรี แต่แล้วทุกอย่างก็ประเดประดังไปให้นายกรัฐมนตรีต้องทำ เมื่อก่อนเป็นอย่างนี้ เดี๋ยวนี้ดีขึ้นไหม ? แต่ก็ยังมีงานที่นายกรัฐมนตรียังต้องไปงานที่ไม่ควรต้องไปให้เหนื่อยอีกหลายอย่าง โดยเฉพาะงานสังคมนั้น อย่าไปใช้นายก ฯ เลย ทะนุถนอมเอาไว้ให้ทำงานที่สำคัญกว่านั้นดีกว่า ท่านพลตรี ม.ร.ว คึกฤทธิ์ ท่านเขียนไว้ว่า “ผมน่ะได้สังเกตดูนะครับ รู้สึกว่าท่านนายกรัฐมนตรีคนนี้ตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งมาเป็นเวลาร่วม 2 ปี รู้สึกว่าท่านทรุดโทรมลงไปมากจริง ๆ ............... เพราะงานของนายกรัฐมนตรีนั้นหนักหนา มันเป็นเรื่องของระเบียบ มันเป็นราชการที่วางกันมา จนในที่สุดงานต่าง ๆ มันก็มาตกอยู่ที่นายกรัฐมนตรีคนเดียว หนังสือราชการต่าง ๆ ที่นายกรัฐมนตรีจะต้องลงนามนั้น ผมเคยเห็นมาด้วยตาตนเองรู้สึกว่ามันเป็นการเหลือวิสัยที่บุคคลคนเดียวจะทำงานได้อย่างนั้น แต่ใครที่มาเป็นนายกรัฐมนตรีก็จะต้องกระทำ เพราะเหตุว่าเรายังไม่ได้มีการวิจัยเรื่องความรับผิดชอบเรื่องการงานให้ถ่องแท้ลงไป เราไม่มีเวลาจะแบ่งงานแบ่งการได้ เพราะตลอดเวลามานี้ราชการงานเมืองมันก็ผันผวนไป แล้วก็มีความจำเป็นรีบด่วนในการพัฒนาประเทศ ในเรื่องการต่อต้านภัยจากภายนอกภายในหลายอย่างมากมาย ซึ่งมันก็ทำให้งานต่าง ๆ มาสุมกันอยู่ที่นายกรัฐมนตรี และเรื่องต่าง ๆ พัวพันกันอยู่และเป็นการรีบด่วนอย่างนี้ ก็เป็นธรรมดาแหละครับที่ไม่มีเวลาว่าง ที่จะไปแบ่งสรรปันส่วนอะไรกันได้ คิดดูแล้วถ้าจะพูดกันตรง ๆ คนที่จะเข้ามารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีนี้ ก็เรียกได้ว่าตก เป็นทาสของงานกระดาษ คือเป็นทาสของหนังสือราชการต่าง ๆ ที่จะต้องลงนาม การลงนาม นั้นถึงแม้ว่าคนที่จะมาเป็นนายกฯ จะเป็นคนไม่เอาเรื่องอย่างไร คือพูดกันตรง ๆ สมมุติว่าเอาผมไปเป็นรัฐมนตรี เห็นหนังสือที่จะเซ็นมากอย่างนั้น ผมก็ทำตัวเป็นตรายางเสีย คือหยิบมาก็เซ็นมันส่งเดชไป เซ็นดะไป เรื่อย ๆ ไปเพียงแค่นั้นมันก็เหนื่อยอยู่แล้วละครับ การออกแรงเซ็นชื่อสำหรับหนังสือมากมายเหลือเกินที่มากองสุมกันอยู่ เพียงแต่เซ็นชื่อทำตัวเป็นตรายางไม่อ่านเลย ผมว่าวันหนึ่งเต็ม ๆ ไปอีกครึ่งวันมันก็ไม่เสร็จอยู่แล้ว ไม่ต้องมาอ่านเรื่องหรอกครับ แต่เมื่อนายกรัฐมนตรีท่านเป็นคนละเอียดลออ ไม่ยอมเซ็นนามไปโดยที่ท่านไม่ได้อ่านเรื่องอ่านราวเสียก่อน ตลอดจนกระทั่งมีความเห็นต่าง ๆ หรือบางเรื่องก็ต้องการความวินิจฉัยจากท่าน เหล่านี้ก็จะต้องใช้เวลาทุกเรื่อง กระดาษแต่ละแผ่นที่เขาเสนอมาถึงนายกฯ นั้น นายกรัฐมนตรีก็จะต้องใช้เวลาอ่านตั้งแต่ต้นเรื่อง สิ่งใดหรือเรื่องใดว่าลงนามได้ก็ลงไป สิ่งใดที่เขาขอคำวินิจฉัยก็จะต้องให้คำวินิจฉัยให้ถูกเรื่องถูกราว แล้วก็เป็นความวินิจฉัยขั้นสุดยอด เพราะท่านนายกรัฐมนตรีมีตำแหน่งสูงสุดในวงราชการบริหาร นี่แหละครับที่ผมเห็นว่าเป็นภาระอันหนักที่สุดเลยทีเดียว คนที่เข้ามาทำงานจริง ๆ นั้นก็ต้องเจ็บไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้ เพราะเหตุว่าไม่มีเวลาที่จะได้พักผ่อนหลับนอนอะไรเป็นของตัวเองเลย วันหนึ่ง ๆ ก็อยู่ที่การนั่งทำราชการ อาจจะต้องทำไปจนดึกดื่น และนอกจากนั้นแล้ว ถึงแม้จะไม่มีหน้าที่อื่นเลย ขนาดว่าเป็นนายกรัฐมนตรีเฉย ๆ ก็แย่อยู่แล้ว แต่ว่านายกรัฐมนตรีของเราทุกวันนี้ นี่ผมไม่ได้พูดเฉพาะส่วนตัวนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันนะครับ จะนั่งทำงานอย่างเดียวก็ไม่ได้อีก เพราะจะต้องรักษาน้ำใจคน เพราะฉะนั้นก็จะต้องมีงานพิธีหรือต้องในงานพระราชพิธีต่าง ๆ ต้องไปในฐานะที่เป็นหัวหน้าฝ่ายบริหาร หัวหน้าข้าราชการ ขาดตกบกพร่องไม่ไป คนเขาจะว่าได้ มันจำเป็นต้องไป บางทีก็ต้องแต่งตัวเต็มยศ บางทีก็ครึ่งยศ ซึ่งแม้แต่การแต่งตัวอย่างนั้นมันก็รุนแรงเหนื่อยแย่แล้วครับ กลับมาก็ต้องเหน็ดเหนื่อยแล้ว นอกจากนั้นก็ยังมีงานพิธีอื่น ๆ พิธีราษฎร์ ซึ่งก็ต้องไปอีกเหมือนกัน ใครจะแต่งงาน ใครจะตาย หรือใครจะเผาศพ แล้วก็งานรับรอง งานค็อกเทล รับรองตามสถานทูตต่าง ๆ กลางคืนก็ต้องออกไปรับประทานอาหาร เหล่านี้มันเป็นเรื่องที่กินเวลาและหนักแรงทั้งสิ้น มิหนำซ้ำยังมีงานศาสนาอีก ฝังลูกนิมิตบ้าง อะไรบ้าง และงานที่นายกรัฐมนตรีที่ต้องไปซึ่งไม่เป็นราชการโดยแท้ แต่จำเป็นต้องไปปรากฏตัวนั้นบางทีก็ไม่ได้อยู่เฉพาะในกรุงเทพ จำเป็นต้องไปถึงต่างจังหวัด ต้องเดินทางไปไกลมันก็เป็นเครื่องทำลายร่างกายทั้งนั้นแหละครับ ถ้าจะพูดกันไปจริง ๆ แล้วมันเป็นเรื่องก่อให้เกิดความเหน็ดเหนื่อย ความเหน็ดเหนื่อยนั้นถ้ามันเกิดขึ้นแก่เราแล้ว เรามีเวลาพักมันก็ไม่เป็นไร พักแล้วร่างกายมันก็ฟื้นขึ้นมาได้ใหม่ แต่ถ้าหากว่างานเหล่านี้ต้องไปงานสารพัดนี่ งานรับรองนี่ต้องไป กลับมาถึงบ้านแทนที่จะได้พักผ่อน ต้องมาอ่านเรื่องราชการ ต้องมาเซ็นหนังสือกันแล้วก็เป็นอันจบกัน เพราะฉะนั้น ผมถึงได้บอกว่าผมเห็นใจท่านนายกรัฐมนตรีท่านว่า มาเป็นนายกฯได้ไม่เท่าไหร่เลย ออกจะทรุดโทรมและสุขภาพก็ไม่สู้จะดี นี่มันก็เป็นปัญหา ความจริงนายกรัฐมนตรีเป็นคนที่มีตำแหน่งสำคัญในบ้านเมืองและเป็นคนที่รับผิดชอบในการบริหารเพื่อความผาสุกและความเจริญของคนไทยทุกคน ถ้าหากว่าท่านเจ็บไข้ได้ป่วยไป ก็น่าจะมีคนเป็นห่วงเป็นใยมีคนคิดถึงกันบ้าง หรือพูดจากันให้รู้เรื่องรู้ราวว่าท่านเจ็บป่วยเพราะอะไร อย่างน้อยก็จะต้องมีการเห็นอกเห็นใจกันบ้าง ไม่ใช่คนทำงานเกือบล้มประดาตาย ทำงานจนเจ็บแล้ว เป็นข่าวขึ้นมาก็เลยเฉย ๆ กันไปหมด ใครรู้แล้วก็พยักหน้านิ่งไป ที่ผมว่ามานี้ก็เพราะอยากจะแสดงความเห็นใจต่อท่านนายกรัฐมนตรี” (17 ตุลาคม 2508)