กลุ่ม "ฉะเชิงเทรารีพาวเวอร์" บุกจี้รัฐบาลสั่งระงับ "โรงไฟฟ้าบูรพาพาวเวอร์" 540 MW ชี้ศักยภาพพื้นที่รับไม่ไหว แถมหวั่นซ้ำเติมวิกฤตสิ่งแวดล้อม และผลักภาระต้นทุนทำให้คนไทยทั้งประเทศต้องจ่ายค่าไฟแพงขึ้น!
วันที่ 11 พ.ย.2568 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตัวแทนชาวบ้านราว 20 คนจากเครือข่าย"ฉะเชิงเทรารีพาวเวอร์" เข้ายื่นหนังสือถึงนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ผ่านนายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกรัฐบาล เพื่อขอให้นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) สั่งระงับการดำเนินโครงการและแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบใบอนุญาต ของการอนุมัติอนุญาตโครงการโรงไฟฟ้าบูรพาพาวเวอร์ ที่ ต.เขาหินซ้อน อ.พนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา ที่มีกำลังผลิตตามสัญญา 540 เมกะวัตต์ ซึ่งคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ได้มีมติอนุญาตให้โครงการดังกล่าว ประกอบกิจการพลังงาน ไปเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2568 ทั้งที่ก่อนหน้านั้น ได้มีกำหนดลงพื้นที่รับฟังข้อมูลจากชุมชนในวันที่ 22 ตุลาคม 2568 โดยมีนายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ออกมารับหนังสือฯ
นางนันทวัน หาญดี หนึ่งในกลุ่มเดินคัดค้าน ระบุว่า ศักยภาพฐานทรัพยากรในพื้นที่ไม่สามารถรองรับโครงการขนาดใหญ่เพิ่มได้อีกแล้ว เนื่องจากมีมลพิษที่สะสมอยู่แต่เดิม ปัญหามลพิษเดิมที่เกิดขึ้น เช่น การปนเปื้อนสารเคมีในแหล่งน้ำสาธารณะและน้ำใต้ดินจากโรงงานในเขตอุตสาหกรรม ทำให้ประชาชนต้องจ่ายค่าใช้จ่ายในการจัดหาน้ำดื่มเอง และปัญหาที่เกิดขึ้นไม่มีหน่วยงานรับผิดชอบ และผู้ประกอบการก็ไม่ได้แสดงความรับผิดชอบในการแก้ปัญหา ต้นทุนในการก่อสร้างโรงไฟฟ้าฟอสซิลจะถูกผลักภาระไปให้ผู้บริโภคผู้ใช้ไฟฟ้าทุกคน ทำให้ ค่าไฟจะแพงขึ้น การต่อสู้ครั้งนี้จึงเป็นการปกป้องสิทธิ์ของคนไทยในฐานะที่ต้องรับภาระค่าไฟแพงแทนภาคเอกชน การไม่เปลี่ยนผ่านจากพลังงานฟอสซิลไปสู่พลังงานยั่งยืน จะเพิ่มวิกฤตในหลายมิติวิกฤตเศรษฐกิจ ทั้งความสามารถในการแข่งขันจะถอยหลังลง วิกฤตความเหลื่อมล้ำ ช่องว่างระหว่างคนจนกับคนรวยจะห่างมากขึ้น ฐานทรัพยากรจะเสื่อมโทรมลง และกระทบต่อมนุษย์ที่เจ็บป่วยจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงและความร้อนที่สูงขึ้น
“ขอเรียกร้องให้ให้นายกรัฐมนตรี มีความกล้าหาญและมีวิสัยทัศน์ของนักธุรกิจรุ่นใหม่ ที่จะนำพาประเทศไทยไปสู่ เศรษฐกิจสีเขียว ตลอดเส้นทางที่คณะเดินเท้าผ่านมาประชาชนให้การสนับสนุนการยกเลิกโครงการนี้ เพราะไม่ต้องการจ่ายค่าไฟฟ้าที่แพงขึ้น แต่ต้องการพลังงานที่เป็นธรรม
สำหรับโรงไฟฟ้าก๊าซบูรพาพาวเวอร์ เดิมคือโรงไฟฟ้าถ่านหินเขาหินซ้อนของบริษัท เนชั่นแนล เพาเวอร์ ซัพพลาย จำกัด (มหาชน) หรือ NPS มีกำลังผลิตติดตั้ง 600 เมกะวัตต์ เป็นหนึ่งในสี่โครงการที่ชนะการประมูล IPP ปี 2550 แต่โครงการต้องหยุดชะงักกว่าสิบปีจากการคัดค้านของชุมชน เนื่องจากกังวลผลกระทบต่อสุขภาพ การเกษตรอินทรีย์ และการใช้น้ำในพื้นที่
ต่อมาปี 2562 บริษัทได้ปรับแผน เปลี่ยนเชื้อเพลิงจากถ่านหินเป็นก๊าซธรรมชาติ และเปลี่ยนชื่อเป็นโรงไฟฟ้าบูรพาพาวเวอร์ โดยมีบริษัท บูรพา พาวเวอร์ เจเนอเรชั่น จำกัด เป็นผู้ดำเนินโครงการ NPS ถือหุ้น 65% และบริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ถือหุ้น 35% มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) 540 เมกะวัตต์ และสัญญาซื้อขายก๊าซกับ ปตท. ระยะเวลา 25 ปี
โครงการตั้งอยู่ในพื้นที่ ต.เขาหินซ้อน อ.พนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา บนเนื้อที่กว่า 127 ไร่ ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงหลัก และใช้น้ำมันดีเซลเป็นพลังงานสำรอง คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างในเดือนพฤศจิกายน 2568 และจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบปี 2570 ตามแผน PDP2018
อย่างไรก็ตาม ภาคประชาชนยังคัดค้านอย่างต่อเนื่อง โดยให้เหตุผลว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีกำลังการผลิตไฟฟ้าเกินความต้องการถึงกว่า 17,000 เมกะวัตต์ ขณะที่ภาคตะวันออกและจังหวัดฉะเชิงเทรามีกำลังผลิตสูงกว่าความต้องการใช้จริงหลายเท่า ทำให้การสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ไม่จำเป็น
ชาวบ้านยังห่วงเรื่องการใช้น้ำของโรงไฟฟ้า ที่มีรายงาน EIA ระบุว่าจะใช้น้ำวันละ 12,000 ลูกบาศก์เมตร สูบจากคลองระบม ซึ่งเป็นแหล่งน้ำสำคัญของจังหวัด ขณะที่พื้นที่ลุ่มน้ำดังกล่าวมีการใช้น้ำจากหลายภาคส่วนอยู่แล้ว และมีความเสี่ยงต่อการขาดแคลนน้ำในอนาคต
อีกทั้งยังมีข้อกังวลเรื่องการเวนคืนที่ดินกว่า 531 ไร่ เพื่อก่อสร้างสายส่งไฟฟ้า ความยาว 14 กิโลเมตร ซึ่งอาจกระทบพื้นที่ทำกินของชาวบ้านใน 4 ตำบล 2 อำเภอ รวมถึงกระบวนการรับฟังความคิดเห็นที่ยังไม่ทั่วถึงและไม่เปิดเผยข้อมูลครบถ้วน
นอกจากนี้ โรงไฟฟ้าก๊าซยังอาจปล่อยก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์และไนโตรเจนไดออกไซด์ ซึ่งเป็นสารตั้งต้นของฝุ่น PM2.5 ส่งผลกระทบต่อสุขภาพและพืชผลทางการเกษตรในพื้นที่ 3 ตำบล ได้แก่ เขาหินซ้อน คู้ยายหมี และเกาะขนุน พื้นที่รวมกว่า 123,000 ไร่ มูลค่าทางเศรษฐกิจกว่า 1,100 ล้านบาทต่อปี โดยเฉพาะมะม่วงน้ำดอกไม้ซึ่งเป็นพืช GI ของจังหวัด และพื้นที่เกษตรอินทรีย์จากศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อนฯ
ขณะเดียวกัน ผู้ประกอบการในสวนอุตสาหกรรม 304 ซึ่งเป็นพื้นที่ตั้งของโรงไฟฟ้า ต่างต้องการพลังงานสะอาดเพื่อรองรับการลงทุนในอุตสาหกรรม Data Center และเพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศภายใต้แผน NDC 3.0 ที่ตั้งเป้าลดก๊าซ 109.2 ล้านตันภายในปี 2578 จึงเห็นว่าโรงไฟฟ้าก๊าซไม่สอดคล้องกับทิศทางดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม NPS ยังเป็นบริษัทที่มีรายได้เพิ่มขึ้นจากการใช้พลังงานชีวมวลและพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งช่วยลดต้นทุนเชื้อเพลิงได้ถึง 30% และดึงดูดนักลงทุนที่ต้องการลดคาร์บอนฟุตพรินต์ การเดินหน้าโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซบูรพาพาวเวอร์จึงถูกมองว่าเป็นการดำเนินธุรกิจที่ขัดกับแนวทางพลังงานสะอาดของบริษัทเอง
จากนั้น"กลุ่มฉะเชิงเทรารีพาวเวอร์" เดินเท้าต่อไปที่กระทรวงพลังงาน เพื่อยื่นข้อเรียกร้องต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ก่อนเดินทางมายังหอศิลป์ฯ กรุงเทพ เพื่อร่วมกิจกรรมสื่อสารสาธารณะในเวที “อนาคตพลังงานจากก๊าซฟอสซิลภายใต้การเดินทางสู่ Net Zero 2050 ของประเทศไทย”
สำหรับ "กลุ่มฉะเชิงเทรารีพาวเวอร์” คือกลุ่มประชาชนที่ไม่เห็นด้วยและตัดสินใจเดินเท้าแสดงเจตจำนง "หยุดโรงไฟฟ้าบูรพาพาวเวอร์ เพื่อเดินหน้าเปลี่ยนผ่านพลังงานไทย" โดยเดินทางจากจุดที่ตั้งโครงการมุ่งหน้าเข้าสู่ ทำเนียบรัฐบาล กรุงเทพมหานคร รวมระยะทางกว่า 125 กิโลเมตร เป็นเวลาประมาณ 7 วัน ตั้งแต่วันที 1-7 พ.ย.68







