พรรคภูมิใจไทยเปิดเกมรุกทางการเมือง ชิงประกาศรายชื่อแคนดิเดตนายกฯ ครบทั้ง 3 คน คือ อนุทิน ชาญวีรกูล เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาส และศุภจี สุธรรมพันธ์ ในขณะที่คู่แข่งยังมีความไม่แน่นอน
การเป็นพรรคแรกที่ประกาศรายชื่อแคนดิเดตครบถ้วนตามกฎหมาย สร้างความน่าเชื่อถือและความมั่นใจต่อสาธารณะว่าภูมิใจไทยมีความพร้อมสำหรับการเลือกตั้งทุกเมื่อ และทำให้สปอตไลต์การเมืองไทยหันมาฉายจับไปที่บุคคลที่จะมาเป็นแคนดิเดตนายกฯ เบี่ยงประเด็นและลดแรงเสียดทานทางการเมืองที่รัฐบาลอนุทินกำลังถูกกดดันจากรอบทิศ
การนำชื่อของเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาส และศุภจี สุธรรมพันธ์ มาเป็นแคนดิเดต ยังได้หลายต่อ
ต่อแรก คือได้ภาพลักษณ์ใหม่ หรือ “รีแบรนด์” จากเดิมที่เป็นเหมือนพรรคการเมืองภูมิภาค จะได้ภาพการเมืองที่มีความ “เชี่ยวชาญ” และมีความเป็น “มืออาชีพ”
ต่อที่สอง กลยุทธ์นี้ช่วยขยายฐานเสียงของภูมิใจไทยไปสู่กลุ่มชนชั้นกลาง นักธุรกิจ และคนเมือง ที่ต้องการความมั่นใจในนโยบายเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่เคยเป็นของพรรคใหญ่แบบดั้งเดิม
ต่อที่สาม คือผลักแรงกดดันกลับไปให้กับพรรคฝ่ายค้าน โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทยที่ถูกบีบให้ต้องเร่งหาบุคคลที่มีความสามารถโดดเด่นเทียบเท่ามานำเสนอ จากเดิมที่พรรคเพื่อไทยผูกขาดความเชื่อมั่นเรื่องนโยบายและการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ โดยขายผลงานเก่าของทักษิณ ชินวัตร ในสูตรเดิม “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ” และมีการส่งทายาททางการเมืองลงมาเป็นผู้นำ เมื่อเจอกับสูตรของพรรคภูมิใจไทย พรรคเพื่อไทยอาจต้องปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์เพื่อโต้กลับอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ขณะที่ 3 แคนดิเดตนายกฯ ของเพื่อไทยจะรับมืออย่างไร แม้ก่อนหน้านี้จะมีชื่อที่เล็ดลอดออกมา ไม่ว่าจะเป็น ณัฐพงษ์ คุณากรวงศ์ จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ และสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ แต่ก็ยังไม่มีความชัดเจน
ด้านพรรคประชาชนที่มีข่าวว่าจัดตั้ง “คณะรัฐมนตรีเงา” ไว้ก่อนเลือกตั้งและเตรียมพร้อมเป็นฝ่ายบริหาร แต่ก็ยังไม่มีความชัดเจน มีเพียงชื่อเดียวที่ได้รับการยืนยันจากหลายฝ่ายคือ ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ที่แม้จะโดดเด่นจากผลโพลของนิด้าโพลทั้งภาคอีสาน ภาคเหนือ และภาคกลางด้านบุคลากรเศรษฐกิจ แต่ก็มีบ่วงที่ต้องเผชิญจากวิบากกรรมในการแก้ไขมาตรา 112 ที่อยู่ระหว่างพิจารณาของ ป.ป.ช. และจะมีความชัดเจนช่วงปลายปี
ส่วนแคนดิเดตอีก 2 คนคือ พริษฐ์ วัชรสินธุ และวีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร ก็ยังต้องเติมเต็มความพร้อม ประหนึ่งเป็นการส่งสัญญาณ “ขู่ยุบสภา” หากฝ่ายค้านยื่นญัตติ ม.151 ซึ่งทำให้ภูมิใจไทยมีอำนาจต่อรองในการควบคุมจังหวะเวลาการยุบสภาได้มากขึ้น
แต่ก็ใช่ว่าจะมีแต่แง่บวก การเปิดชื่อแคนดิเดตนายกฯ ก่อนย่อมตกเป็นเป้าโจมตีทันที เมื่อรายชื่อแคนดิเดตครบถ้วนและเปิดเผย การถูกตรวจสอบประวัติ นโยบาย และจุดอ่อนของแต่ละคนจะเกิดขึ้นทันที โดยเฉพาะแคนดิเดตใหม่ที่ไม่ใช่นักการเมืองอาชีพอย่างเอกนิติและศุภจี จะต้องเตรียมรับการตรวจสอบจากทั้งสื่อและฝ่ายค้าน
ขณะเดียวกันยังต้องแบกรับภาระรัฐบาล ในฐานะพรรคร่วมรัฐบาล การเปิดตัวแคนดิเดตในช่วงที่ยังคงดำรงตำแหน่ง ทำให้ภูมิใจไทยและแคนดิเดตของพรรคต้องรับทั้งผลงานและข้อบกพร่องของรัฐบาลชุดปัจจุบัน ซึ่งเป็นเป้าที่ฝ่ายค้านโจมตีได้ง่าย
อย่างไรก็ตาม ณ จุดนี้ ภูมิใจไทยสามารถสร้างวาระเชิงรุก เพิ่มความน่าเชื่อถือด้านเศรษฐกิจ และสร้างแรงกดดันต่อคู่แข่งได้สำเร็จ แต่ก็ต้องเตรียมรับมือกับการตรวจสอบและการโจมตีที่จะตามมา ไม่ให้กระทบ “เอกนิติ” และ “ศุภจี” ก่อนถึงวันเลือกตั้ง
#ภูมิใจไทย #แคนดิเดตนายกฯ #การเมืองไทย #เลือกตั้ง #อนุทิน #เอกนิติ #ศุภจี #เพื่อไทย #พรรคประชาชน #สนามเลือกตั้ง #วิเคราะห์การเมือง








