ขบวนการต่อสู้เพื่อแบ่งแยกการปกครองจากรัฐในพื้นที่ปลายด้ามขวาน ยังคงมีความพยายามอย่างแรงกล้าด้วยการขับเคลื่อนการบ่มเพาะความเห็นต่างจากรัฐในทุกอณูของสังคม ที่รวมถึงมวลชนที่อยู่ในเรือนจำในพื้นที่ชายแดนใต้ ความมุ่งมั่นอย่างคงเส้นคงวาในการสานพลังอำนาจในการต่อสู้ของขบวนการร้ายแห่งนี้มีอยู่ในทุกมิติที่ทำได้ เพื่อให้ขบวนการร้ายแห่งนี้ยังคงศักยภาพในการต่อสู้กับรัฐอย่างทรงพลัง แม้แต่บุคคลที่ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำในพื้นที่ ทั้งที่อยู่ในระหว่างการต่อสู้คดีและที่เป็นผู้ต้องขังเด็ดขาดแล้ว ด้วยกระบวนการบ่มเพาะแนวคิดที่เป็นปรปักษ์หรือศัตรูกับรัฐอย่างต่อเนื่องจากแกนนำขบวนการร้ายแห่งนี้ที่ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำ โดยพวกเขามีกระบวนการบ่มเพาะความเกลียดชังรัฐผ่านวาทกรรมการไม่ได้รับความเป็นธรรมจากกระบวนการพิจารณาคดีของรัฐ เพื่อสร้างผู้คนเป้าหมายให้ตกเป็นมวลชนแนวร่วมขบวนการแบ่งแยกการปกครองจากรัฐอย่างต่อเนื่อง ที่ขยายแนวคิดปรปักษ์กับรัฐเหล่านั้นไปยังครอบครัวและมิตรสหายที่มาเยี่ยมผู้ต้องขังเหล่านั้นตลอดมา และแนวคิดที่แปลกแยกแตกต่างจนเป็นปรปักษ์กับรัฐจะยิ่งทำให้ประชาชนในพื้นที่ต่างได้รับอิทธิพลทางความคิดปรปักษ์เหล่านั้น จนนับวันมวลชนเหล่านั้นจะยิ่งถอยห่างจากเจ้าหน้าที่รัฐมากขึ้นเป็นทวีคูณ จนรัฐไม่อาจแย่งชิงมวลชนเหล่านั้นให้มาเป็นแนวร่วมกับรัฐได้แม้แต่น้อย
มวลชนแนวร่วมขบวนการร้ายแห่งนี้มีความเต็มใจเข้ามาเป็นพลังการต่อสู้กับรัฐอย่างแน่วแน่ โดยขบวนการร้ายแห่งนี้มีกระบวนการสร้างความเห็นต่าง สร้างความเกลียดชังรัฐในทุกรูปแบบและทุกภาคส่วนที่เป็นไปได้ ที่นอกจากกลุ่มเป้าหมายที่เป็นคนในชุมชนท้องถิ่น กลุ่มเป้าหมายที่เป็นเด็กและเยาวชนคนรุ่นใหม่ที่ใช้ชีวิตส่วนใหญ่ในสถานศึกษาในพื้นที่แล้ว ยังมีกลุ่มคนที่กำลังตกเป็นจำเลยและผู้ต้องขังเด็ดขาดในเรือนจำต่าง ๆ ในพื้นที่ โดยหน่วยงานความมั่นคงของรัฐล้วนละเลยผู้คนกลุ่มในเรือนจำเหล่านี้ที่กำลังตกเป็นกลุ่มเป้าหมายของขบวนการแบ่งแยกการปกครองจากรัฐ กลุ่มผู้ต้องขังในเรือนจำในพื้นที่ปลายด้ามขวานกำลังถูกบ่มเพาะจากแกนนำขบวนการในเรือนจำ ใช้จิตวิทยาสร้างความเห็นต่างโดยเริ่มจากความคิดการได้รับความอยุติธรรมของรัฐขยายตัวจนเป็นความเครียดแค้นเกลียดชังรัฐ และผ่องถ่ายความเครียดแค้นจากการต่อต้านระบบยุติธรรมของรัฐเหล่านั้นไปสู่เครือญาติของตนที่ยังใช้ชีวิตอยู่ในพื้นที่ปลายด้ามขวาน ซึ่งคนกลุ่มนี้จะเป็นแนวร่วมขบวนการร้ายแห่งนี้ในทุกรูปแบบ จนกลายเป็นการเสริมพลังให้กับขบวนการร้ายในการต่อสู้กับรัฐอย่างน่ากังวล
จากข้อมูลเชิงลึกพบว่า ผู้ต้องขังคดีความมั่นคงในพื้นที่ปลายด้ามขวานจำนวนมากถึงร้อยละ $95.65$ มีความคิดไม่ยอมรับในกระบวนการพิจารณาและการตัดสินคดีที่ผ่านมา นั่นแสดงให้เห็นว่า ผู้ต้องขังคดีความมั่นคงดังกล่าว ล้วนไม่ยอมรับในระบบยุติธรรมของรัฐ ซึ่งเกิดจากการไม่เชื่อมั่นต่อเจ้าหน้าที่รัฐและระบบรัฐเป็นพื้นฐาน ประกอบกับกระบวนการดำเนินคดีตั้งแต่ชั้นพนักงานสอบสวน มีส่วนหนึ่งซึ่งถูกส่งต่อความคิด ความเชื่อกันมาว่า มีความไม่บริสุทธิ์ยุติธรรม โดยเฉพาะการดำเนินคดีกับพี่น้องชาวมุสลิม ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญประการหนึ่งในเงื่อนไขของการทำสงครามศาสนา (ญิฮาด) ที่ขบวนการร้ายแห่งนี้พยายามตีความหลักศาสนาให้เข้าทางการต่อสู้ของพวกเขา ทั้งที่ความหมายที่แท้จริงของญิฮาดไม่ได้หมายความเช่นนั้น หากแต่ความหมายที่แท้จริงของญิฮาด จะหมายถึงความพยายามในการดิ้นรนต่อสู้เพื่อที่จะเพิ่มศรัทธาในพระเจ้า รวมทั้งการทำความดีเพื่อการเผยแพร่ศาสนา การกล่าวอ้างว่าผู้ต้องขังในเรือนจำถูกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม ถูกกดขี่ข่มเหงจากผู้ปกครองที่มีต่อชาวมุสลิมโดยใช้กระบวนการยุติธรรมพิจารณาความผิดหรือความบริสุทธิ์ที่มีอคติต่อชาวมุสลิมของรัฐ จึงเป็นเงื่อนไขสำคัญในการส่งต่อความคิดที่ขัดแย้ง สร้างความแปลกแยกแตกต่างจากรัฐอีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งอยู่ในพื้นที่เรือนจำที่รัฐมองข้าม แม้ไม่ใช่การถ่ายทอดความคิดแบ่งแยกดินแดนโดยตรง หากแต่การบ่มเพาะแนวคิดแปลกแยกจนต่อต้านระบบยุติธรรมจนลุกลามไปสู่การต่อต้านทุกระบบของรัฐ ย่อมเป็นการเสริมพลังการต่อสู้ของขบวนการร้ายแห่งนี้ได้อย่างทรงพลัง โดยขยายผลความคิดเหล่านั้นไปสู่ครอบครัวและมิตรสหายของผู้ต้องขังที่มาเยี่ยมในเรือนจำอย่างต่อเนื่องอีกด้วย
แม้กระบวนการในเรือนจำที่มีในปัจจุบัน จะดำเนินการด้วยการเคารพในสิทธิความเชื่อ และวิถีชีวิตตามหลักศาสนาอย่างมากแล้วก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นการรับประทานอาหารฮาลาล ที่ประกอบอาหารด้วยผู้ต้องขังชาวมุสลิมเอง หรือการละหมาดตามห้วงเวลาที่กำหนดในหลักศาสนาอิสลาม การปรับห้วงเวลารับประทานอาหารของพี่น้องผู้ต้องขังชาวมุสลิมให้เหมาะสมในห้วงถือศีลอด รวมทั้งการปฏิบัติศาสนกิจตามหลักศาสนาก็ตาม หากแต่ปัญหาเครียดแค้นคับข้องใจของผู้ต้องขังในคดีความมั่นคงก็คือ การที่พวกเขาต้องมาอยู่ในเรือนจำก็เพราะไม่ได้รับความยุติธรรมจากรัฐ เหล่านี้คือเงื่อนไขสำคัญที่ส่งผลให้เป็นแนวร่วมของขบวนการแบ่งแยกการปกครองจากรัฐทั้งตัวผู้ต้องขังเองและเครือญาติ นอกจากนั้น ความคิดของการไม่ยอมรับในกระบวนการยุติธรรมเหล่านั้น ได้ถูกส่งต่อไปยังกลุ่มผู้ต้องขังรายอื่น ๆ ในเรือนจำ ตลอดจนบุคคลในครอบครัวที่มาเยี่ยมในเรือนจำ ที่เห็นว่ารัฐเป็นต้นเหตุที่ทำให้คนในครอบครัวของเขาต้องใช้ชีวิตอยู่ในพื้นที่ด้วยความยากลำบาก อันเป็นการขยายต่อความเห็นต่างจนกลายเป็นความเกลียดชังรัฐให้กว้างขวางออกไป ด้วยเงื่อนไขความไม่เชื่อมั่นในระบบของรัฐในวงกว้าง
กระบวนการบ่มเพาะความเห็นต่างจนเกลียดชังรัฐเพื่อสร้างเสริมแนวร่วมขบวนการแบ่งแยกดินแดนในเรือนจำนั้น แม้ยังไม่มีการดำเนินการบ่มเพาะเพื่อการแบ่งแยกดินแดนโดยตรง หากแต่จะเป็นการขยายต่อแนวคิดแปลกแยกแตกต่างจนกลายเป็นความเกลียดชังรัฐ อันเกิดจากการปลุกระดมว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมจากรัฐ ซึ่งนั่นจะเป็นเงื่อนไขข้ออ้างให้มวลชนต้องแสวงหาทางเลือกใหม่ เพื่อให้มีการปกครองดูแลที่มีความเป็นธรรมมากกว่าปัจจุบัน โดยคนมุสลิมปกครองคนมุสลิมกันเอง และสิ่งนั้นกำลังก่อร่างสร้างหนทางไปสู่รัฐเอกราชปาตานี ด้วยพลังการขับเคลื่อนจากคนอีกกลุ่มหนึ่งคือกลุ่มผู้ต้องขังในเรือนจำที่กำลังถูกบ่มเพาะความเกลียดชังรัฐและขยายไปในเครือญาติอย่างเป็นระบบโดยที่รัฐมองข้าม








