ตะเกียงเจ้าพายุ

สงครามอะไรฟะ? จะเอาชนะเขมรกี่โมง?

แชร์ข่าว

ทวี สุรฤทธิกุล

“ได้เดชไทยไปคุ้มกะลาหัว จึงตั้งตัวขึ้นมาอย่าจองหอง

เป็นข้าขัณฑสีมาฝ่าละออง ส่งดอกไม้เงินทองตลอดมา”

โอ๊ะ ๆ ยุบสภาเสียแล้ว แต่จะได้มีเลือกตั้งหรือรัฐบาลนี้จะรักษาการไปอีกนาน ขอดูสถานการณ์ในสัปดาห์นี้ให้ชัด ๆ แล้วค่อยมาว่ากัน ตอนนี้ขอไป “โหน” กระแสเรื่องเขมรที่กำลังวุ่นวายนี้สักนิด

กลอนข้างต้นนี้เป็นท่อนหนึ่งของกลอนที่ท่านอาจารย์ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช เขียน “ด่าเขมร” ใน พ.ศ. 2502 ตอนนั้นเขมรทำเรื่องฟ้องศาลโลกเรียกร้องว่าปราสาทเขาพระวิหารเป็นของเขมร คดีพิจารณาอยู่ 2 ปีกว่า ใน พ.ศ. 2505 ศาลโลกก็ตัดสินให้เขมรชนะ ระหว่างนั้นคนไทยก็อยากให้ทหารไทยยกทัพไปถล่มเขมร แต่ก็น่าแปลกใจที่นายทหาร “ห้าว ๆ” และมีอำนาจเด็ดขาดอย่าง จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ก็ไม่ได้ทำอะไรเขมร บรรยากาศก็คงเป็นแบบในเวลานี้ที่ทหารไทยก็ดูจะ “เกรงใจอะไร ๆ” อยู่ เรื่องก็เลยจบแบบ “เซ็ง ๆ” กันไป

เล่าประวัติศาสตร์ย่อ ๆ อาจจะสรุปได้ว่า เขมรนั้นเคยเป็นเมืองขึ้นไทยมาก่อนตั้งแต่สมัยต้นกรุงศรีอยุธยา แต่พอไทยมาทำสงครามกับพม่า เขมรซึ่งอ่อนแออยู่แล้วก็ถูก ญวน แอบมาครอบครอง จนถึงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ เจ้าเขมรบางองค์ก็มาขอพึ่งพระบรมโพธิสมภาร ไทยก็ช่วยและแต่งตั้งให้กลับไปปกครองเขมร กระทั่งสมัยรัชกาลที่ 5 ที่ฝรั่งเศสมาล่าเมืองขึ้น ก็ยึด ญวน เขมร และลาวไปครอบครอง กระทั่งช่วงสงครามอินโดจีน ก่อนที่จะเกิด สงครามโลกครั้งที่ 2 ไทยก็ยึดดินแดนที่ถูกฝรั่งเศสเอาไปครองนั้นได้กลับมาบางส่วน พร้อมกับที่สามชาติเพื่อนบ้านนี้ก็ถูกปลดแอกจากฝรั่งเศส แต่พอสงครามโลกครั้งที่ 2 จบลง สามชาตินี้ก็เรียกร้องเอาเอกราช และได้ดินแดนที่ไทยเคยได้มาบางส่วนกลับคืนไป โดยเฉพาะที่ได้มาจากเขมรนั้นคืนไป รวมถึงปราสาทหินตามชายแดนหลายแห่ง ที่มีปราสาทเขาพระวิหารนั้นด้วย

ปัญหาชายแดนไทยกับเขมรนี้ว่ากันตามตรง ก็เป็นปัญหามาจากฝรั่งเศส ในครั้งที่มาล่าเมืองขึ้นดินแดนแถบนี้ก็มาขีดแผนที่เอาดินแดนตามอำเภอใจ โดยอ้างเทคนิคในการทำแผนที่ต่าง ๆ กับกฎหมายที่พวกฝรั่งสร้างขึ้น (เพื่อล่าเมืองขึ้น) ซึ่งไทยเราก็ต้องยอมเพราะไม่อยากให้เป็นเรื่องใหญ่ และคิดว่าคงจะไม่มีปัญหาอะไรตามมา เอาเข้าจริงก็เป็นปัญหามาก อย่างที่ต้องมาฟ้องร้องกันในเรื่องเขาพระวิหารในปี 2502 และอีกครั้งในปี 2550 และล่าสุดนี้เมื่อกลางปีที่ผ่านมา ที่เขมร “ทำซ่า” ท้าทายท้ารบเหมือนว่าจะไม่จบง่าย ๆ มาจนถึงวันนี้

ประเด็นที่น่าเบื่อมาก ๆ ในเวลานี้ก็คือ “ทำไมไม่รบกันให้แตกหัก? มีประเด็นแอบซ่อนอะไรกันหรือ?” ซึ่งต่อไปนี้เป็นความคิดเห็นจาก “ความรู้” เท่าที่หาได้ของผู้เขียน ซึ่งมาจากหลาย ๆ แหล่ง

แหล่งความรู้แรกคือหนังสือเรื่อง “ถกเขมร” ผู้เขียนคือ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช ที่เขียนมาตั้งแต่ พ.ศ. 2496 แต่ผู้เขียนได้มาอ่านในฉบับที่พิมพ์ใน พ.ศ. 2527 ตอนที่มาทำงานกับท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ อ่านแล้วก็เกิดสงสัยว่า ทำไมเขมรจึง “ล้าหลัง” ทั้งที่ในอดีตเคยสร้างปราสาทหินต่าง ๆ ได้ใหญ่โตสวยงาม ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ตอบว่า “กษัตริย์ขอมโบราณอาจจะไม่ใช่คนเชื้อชาติเขมร แต่เป็นพวกเชื้อแขกจากอินเดียที่มามีอำนาจอยู่ในดินแดนแถบนี้ แต่ก็อาจจะมาผสมมีเลือดคนพื้นเมืองบ้าง แน่นอนว่าคนสร้างก็คือคนเขมรที่เป็นคนป่าคนดงมาตั้งแต่พัน ๆ ปีนั่นแหละ แต่คนคุมการก่อสร้างก็น่าจะเป็นคนเชื้อชาติเดียวกับเจ้าขอมที่ฉลาดกว่า คนเขมรเป็นได้แค่กรรมกรหรืออย่างดีก็พอจะสลักหินได้ตามที่นายงานที่เป็นคนอีกเชื้อชาติหนึ่งมาคุมและสั่งให้ทำเท่านั้น ดังนั้นพอกษัตริย์ไทยตั้งแต่ที่ปราบกษัตริย์เขมรไปได้ในตอนต้นกรุงศรีอยุธยา เขมรก็หมดอารยธรรมไปในทันที พวกศิลปะและวัฒนธรรมต่าง ๆ ในยุคหลังก็ลอกหรือเอาไปจากไทยทั้งสิ้น”

แหล่งความรู้ต่อมาก็คือจากการได้ไปดูชายแดนจริง ๆ ในช่วง พ.ศ. 2531 - 2533 ที่ตอนนั้นผู้เขียนซึ่งเป็นอาจารย์ใน มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช แล้ว ได้ถูกรัฐมนตรีของ พรรคกิจสังคม คือ ดร. สุบิน ปิ่นขยัน ยืมตัวไปช่วยราชการที่กระทรวงพาณิชย์ และต่อมาก็ถูกแต่งตั้งใหม่ให้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ตอนนั้นรัฐบาลมีนายกรัฐมนตรีชื่อ พลเอกชาติชาย ชุณหวัน มีนโยบายสำคัญคือ “ทำสนามรบให้เป็นสนามการค้า” ที่ชายแดนตอนนั้นยังมีค่ายผู้อพยพที่คนเขมรหนีมาตอนเกิดการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในยุคเขมรแดงมาให้ไทยเลี้ยงดูอยู่เป็นจำนวนมาก แล้วต่อมาก็เกิดเป็นการรบกันของคนเขมรเองที่เรียกว่า “เขมรสามฝ่าย” ประเทศไทยก็มีส่วนช่วยทำให้สงบ ซึ่งในช่วงเวลานี้จะเป็นช่วงที่ “ทหารครองชายแดน” ก็เริ่มมีข่าวว่ามีการหาผลประโยชน์ร่วมกันของข้าราชการตามชายแดนนั้น รวมกับ “ผู้มีอิทธิพลของเขมร” อีกจำนวนหนึ่ง ที่สมัยนี้เรียกว่า “ธุรกิจสีเทา” โดยเริ่มจากการขายสินค้าหนีภาษีและการค้ามนุษย์

ผู้เขียนไม่ได้หาความรู้เกี่ยวกับเขมรมานาน จนเมื่อ พ.ศ. 2557 หลังรัฐประหารที่ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี ผู้เขียนได้ไปทำงานให้กระทรวงมหาดไทย เป็นกรรมการตรวจหมู่บ้านดีเด่น โดยมีเขตตรวจแถวจังหวัดภาคตะวันออก ที่รวมถึงจังหวัดสระแก้วที่เป็นพื้นที่ชายแดนไทยเขมรนั้นด้วย จึงมาได้รับข้อมูลจากกำนันผู้ใหญ่บ้านแถวนั้นว่า ปัญหาชายแดนนั้นยังมีอยู่มาก ทั้งเรื่องการค้ามนุษย์ การค้าชายแดน และ “ธุรกิจการเมือง” ซึ่งแตกต่างจากเมื่อ 30 กว่าปีก่อนที่ยังไม่มีธุรกิจแบบหลังนี้

“ธุรกิจการเมือง” ก็เกิดขึ้นจากการ “พึ่งพิงกัน” ของข้าราชการกับนักการเมืองในท้องถิ่น ที่เชื่อมโยงไปถึงนักการเมืองในระดับชาติ โดยคนในพื้นที่ให้ข้อมูลว่าเกิดขึ้นเพราะทหารไทยในสมัยที่เขมรเป็นคอมมิวนิสต์นั้น ท่านต้องการดึงคนเขมรให้เอาใจออกห่างจากรัฐบาลที่พนมเปญ จึงเอาใจราษฎรเขมรรวมถึงพวกพ่อค้าคนเขมรเป็นอย่างมาก ทั้งนี้ก็ต้องอาศัยพ่อค้าคนไทยและข้าราชการไทยคือมหาดไทยนั้นร่วมมือด้วย ด้วยการอะลุ่มอล่วยและให้อภิสิทธิ์ต่าง ๆ แก่คนเขมร แล้วเขมรก็ตอบแทนด้วยการ “หาประโยชน์” ต่าง ๆ ที่จะหาได้กับธุรกิจรูปแบบต่าง ๆ ที่รวมถึงธุรกิจผิดกฎหมาย ที่มีผลประโยชน์มหาศาลก็คือบ่อนคาสิโน จนเมื่อเขมรเป็นประชาธิปไตยและมีการเลือกตั้ง อันเป็นยุคที่ ฮุน เซน ขึ้นมามีอำนาจ ธุรกิจเหล่านี้ก็ยิ่งเจริญงอกงาม

ทีนี้ท่านทั้งหลายก็ต้องปะติดปะต่อเรื่องราวต่อมาให้ถึงปัจจุบัน และก็อาจจะร้องอ๋อว่าทำไมนักการเมืองท้องถิ่นและข้าราชการแถวชายแดนแถบนี้ (รวมถึงทหารที่เติบโตมาในย่านนี้) จึงมีฐานะดีและมีอิทธิพลค่อนข้างมาก อีกทั้งคำตอบที่ว่าทำไมสงครามที่เกิดขึ้นตามชายแดนในเวลานี้ จึงดูเหมือน “การละเล่น” (ที่เราเห็นทหารและมีคนตายนั้นตายจริง ๆ ก็ตาม ซึ่งน่าสงสารและน่าเศร้าใจมาก) ก็คงด้วยสงครามนี้เป็นเพียง “เครื่องเล่น” ของผู้มีอำนาจและผู้มีผลประโยชน์เหล่านี้เท่านั้น

ดังนี้คำพูดที่ว่า “สงครามอะไรฟะ? จะจบกี่โมง?” ก็ยังจะกระหึ่มต่อไป จนกว่าผู้นำ, นักการเมือง, นักธุรกิจ และข้าราชการ “เลว ๆ” จะเลิก “หากินร่วมกัน”