สถาพร ศรีสัจจัง
เรื่อง "สัมมาอาชีวะ" หรือ "การหาเลี้ยงชีพชอบ" และ "อาชีวปฏิญาณ" หรือ "ข้อปฏิญาณในการประกอบอาชีพ", คำ "ปฏิญาณ" เป็นคำที่ภาษาไทยยืมคำจาก ภาษามคธ หรือ 'ภาษาบาลี' มาปรับใช้ คำนี้ พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน ของไทย ให้ความหมายไว้ว่า "ปะติยาน"
ก. ให้คำมั่นสัญญา โดยมากมักเป็นไปตามแบบพิธี" - นับเป็นเรื่องสำคัญยิ่งในยุคปัจจุบัน
ทั้งคำ "สัมมาอาชีวะ" และคำ "อาชีวปฏิญาณ" อาจถือได้ว่าเป็น 'ราก' ทาง 'ภูมิปัญญาไทย' ที่มุ่งให้คนในสังคมยึดถือไว้เป็นหลักการของชีวิต เพื่อ 'ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ' อันจะก่อผลให้เกิด 'ความเป็นมงคล' (ทั้งต่อตัวเองและสังคม) มาอย่างยาวนานยิ่ง
เป็นอิทธิพลทาง 'จริยธรรม' ที่สังคมไทยได้รับการ ปรับปรน มาจากหลักการคำสอนใน พระพุทธศาสนา เรื่อง "อริยมรรคมีองค์ 8" โดยตรง
คำสอนและแนวปฏิบัติแห่งชีวิตแห่งสังคมคือ พระพุทธศาสนา ดังว่านั้น ได้รับการเผยแผ่มาแต่ ชมพูทวีป คือ อินเดียโบราณ เข้าสู่แหลม สุวรรณภูมิ มาตั้งแต่ยุค พระเจ้าอโศกมหาราช แต่เมื่อกว่า 2,000 ปี โน่นแล้ว!
แหลม 'สุวรรณภูมิ' - ที่ภายหลังดินแดนส่วนหนึ่งกลายมาเป็นประเทศที่ชื่อ "สยาม"
แล้วกลายเป็นสิ่งที่เรียกว่า "ประเทศไทย" สืบต่อมา...
กล่าวกันว่า "หลักการสากล" สำคัญยิ่งที่พึงปฏิบัติ เพื่อการนำพา "คน" (สิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่ง) ให้ข้ามพ้นจากความเป็น "เดรัจฉาน" เพื่อ 'พัฒนาไปสู่ความเป็น "มนุษย์' หรือ 'ผู้มีใจสูง' นั้น ที่สำคัญที่สุดคือหลักการที่ว่าด้วย "ความดี" หรือหลักการทาง "จริยธรรม" (Ethic) นั่นเอง
นักปราชญ์ตั้งแต่ยุคโบราณจนถึงยุคปัจจุบัน (โดยเฉพาะชาติ ตะวันตก หรือ 'อัสดงคตประเทศ') มีความเห็นตรงกันว่า 'หลักการ' ที่จะนำ 'สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคน' ให้พัฒนาข้ามพ้นจากความเป็น "เดรัจฉาน" ได้อย่างแท้จริงนั้น ประกอบด้วย หลักสัจธรรม 3 ประการ
เป็น หลักสัจธรรม 3 ประการ ที่พวกเขาจะต้องเรียนรู้และยึดถือปฏิบัติให้ได้ เพื่อการก้าวสู่ความเป็น "มนุษย์" ที่แตกต่างจาก "เดรัจฉาน" นั่นคือ:
1.ต้องเรียนรู้ให้เข้าใจและพบว่า 'ความดีแท้' ของชีวิตคืออะไร (จริยธรรม)
2.ต้องเรียนรู้ให้ประจักษ์ว่า 'ความงามแท้' คืออะไร (สุนทรียธรรม) และ
3.ต้องเรียนรู้จน ยึดกุม มาแปรผลเป็นการสร้างสรรค์เชิงรูปธรรมได้ว่า 'ความจริงแท้' ของสรรพสิ่งใน 'สภาวธรรม' คืออะไร (ข้อที่ 3. นี้ส่วนใหญ่จะเป็นการเรียนรู้ที่คนในยุคปัจจุบันเรียกว่า 'การค้นพบทางวิทยาศาสตร์ธรรมชาติและวิทยาศาสตร์ประยุกต์')
หลักว่าด้วย "ความดี" หรือหลัก "จริยธรรม" จึงเป็น 1 ใน 3 หลักการใหญ่ ๆ ที่เกิดควบคู่กับพัฒนาการทางสังคมของ 'คน' ที่มุ่งแสวงหาการอยู่ร่วมแบบ สันติ หรือแบบสงบสุขตลอดมา
ภาพรูปธรรมทาง "จริยธรรม" ดังกล่าวนี้ สามารถเห็นได้ชัดจากการเกิดของสิ่งที่เรียกว่า "ศาสนา" มาแต่ยุคโบราณ ทั้งในสังคมของซีกโลกตะวันตกและตะวันออก
และ ศาสนา ทุกศาสนาที่เกิดขึ้น มักมีแก่นของคำสอนหรือ "ข้อบัญญัติ' เพื่อการนำไป ปฏิบัติ ในการดำรงชีวิตที่มีจุดร่วมที่สำคัญตรงกัน
คือคำสอนหรือข้อบัญญัติที่มุ่งให้คน 'ทำดีละเว้นทำชั่ว' - ไม่ เบียดเบียน กดขี่ข่มเหง เอาเปรียบ หรือทำร้ายกัน!
อาจมีรายละเอียดของคำสอนอยู่บ้างในด้าน อนุภาค ที่มีความแตกต่างกันไปตามแต่เงื่อนเหตุทาง อัตวิสัย และ ภววิสัย หรือ 'พื้นที่และเวลา' ในการเกิดของศาสนานั้น ๆ
แต่ทั้งสิ้นทั้งปวงล้วนมุ่งให้ 'ศาสนิก' ทั้งหลาย ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ในการดำรงชีวิตร่วมกันในสังคม ทั้งในระดับ ปัจเจก ระดับชุมชน เมือง ประเทศ หรือระดับสังคมโลก
ไม่ว่าจะเป็นศาสนาใหญ่ ๆ ที่เกิดมาอย่างยาวนาน เช่น ศาสนาโซโรแอสเธอร์ (ลัทธิบูชาไฟ) ศาสนายูดาห์ (ยิว) ศาสนาพุทธ ศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลาม ศาสนาขงจื่อ ศาสนาเต๋า หรือ ศาสนาซิกข์
หรือแม้แต่ลัทธิความเชื่อย่อย ๆ ที่ปรากฏเฉพาะบางชุมชน บางประเทศ หรือบางช่วงเวลา (ถ้าเป็นคำสอนเชิง "จริยธรรม") ก็ตาม
แต่ย่อมเป็นที่แน่นอนว่า การ 'ขยาย' ข้อค้นพบหลัก สัจธรรม ทั้ง 3 ประการ (คือ ความดี ความงาม และ ความจริง) อาจมีน้ำหนักและจังหวะก้าวในการ "ปรับใช้" ที่ส่งผลต่อ "สังคมคน" ที่แตกต่างกันไป ตามเงื่อนเหตุ ภววิสัย และบริบทของสังคมชุมชน สังคม ประเทศ หรือสังคมโลกโดยรวม
เรื่องหนึ่งที่พบว่ามีความผิดเพี้ยนเปลี่ยนแปลง "ระบบคุณค่า" ของสังคม 'คน' (ที่มุ่งหวังพัฒนาสู่ความเป็น "มนุษย์") ไปมาก หลังจากการเกิดของศาสนาที่เรียกกันในปัจจุบันว่า "ลัทธิทุนนิยมบริโภคเสรี" ก็คือหลักการที่ว่าด้วย "ความดี" หรือ "จริยธรรม"
ซึ่งในนั้นมีเรื่องของ "สัมมาอาชีวะ" หรือ "การหาเลี้ยงชีพชอบ" (ที่ ศาสนาพุทธ เรียกว่าไม่เป็น "มิจฉาอาชีวะ") เป็นแนวทางปฏิบัติที่เป็นประเด็นสำคัญประเด็นหนึ่ง, ทั้งในระดับสังคมโลกและระดับ สังคมประเทศไทย!!!








