เส้นแบ่งความคิด

รัก “ชาติ” แบบ “รัฐชาติสมัยใหม่” (2)

แชร์ข่าว

สถาพร ศรีสัจจัง

ดังได้กล่าวมาก่อนแล้วว่า คำ “ประเทศไทย” หรือ “Thailand” นั้น เพิ่งเกิดขึ้นอย่างเป็นทางการก็เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2482 หรือ เมื่อ 86 ปีที่แล้วมานี่เอง (นับถึงปีปัจจุบันซึ่งคือ พ.ศ. 2568) ถือว่าใหม่มาก!

เพราะมีอายุน้อยกว่าสิ่งที่หลายใครซึ่งเป็นนักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ในรัฐ “ไทย” ปัจจุบันเรียกว่า “ระบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” เสียอีก! (พ.ศ. 2475)

ก่อนหน้านั้น (ไปจนอาจถึงยุคอยุธยา) สังคมอื่นรู้จักเราในชื่อ “เสียม” หรือ “สยาม” (Siam) มากว่านามอื่นใด

หลายครั้งการใช้คำว่า “รักชาติ” มักจะก่อปัญหา (โดยเฉพาะในหมู่คนที่ยึดติดคำว่า ชาติพันธุ์) ทั้งในหมู่ “นักวิชาการ” และ ในหมู่ประชาชนทั่วไปใน “รัฐชาติสมัยใหม่” อยู่เสมอๆ

โดยเฉพาะรัฐชาติที่ชื่อ “ไทย” (ซึ่งเป็นชื่อที่เพิ่งเกิด มีอายุเพียง 86 ปี)

เพราะเหตุที่คำ “ไทย” เป็นคำใหม่ ดังนั้น นิยาม “ความเป็นไทย” ที่มุ่งจะให้เกิด “อัตลักษณ์องค์รวมทางสังคม” เพื่อไปหานิยามคำว่า “ชาติไทย” ต่อจึงมักเกิดปัญหาไม่น้อย

ทั้งนี้ก็เพราะ “สังคมไทยสมัยใหม่” ปัจจุบัน (หรือประเทศไทยปัจจุบัน) เกิดจากการ “หลอมรวมอัตลักษณ์” ของกลุ่มชาติพันธุ์ที่หลากหลายมาก

นักมานุษยวิทยาสมัยใหม่บอกว่า (อย่างน้อยก็โดยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร) มีไม่น้อยกว่า 60 กลุ่มชาติพันธุ์

ถ้าให้ AI แบ่ง พบว่า มันจะแบ่งกลุ่มชาติพันธุ์ในไทยออกตามเขตพื้นที่ของถิ่นที่อยู่อาศัย ได้เป็น 4 กลุ่ม คือ กลุ่มชาติพันธุ์บนที่สูง กลุ่มชาติพันธุ์บนที่ราบ กลุ่มชาติพันธุ์ชายฝั่งทะเล และ กลุ่มชาติพันธุ์ในป่า

ส่วนนักมานุษยวิทยาโดยทั่วไป (โดยเฉพาะนักมานุษยวิทยาภาษาศาสตร์) มักจัดแบ่งกลุ่มชาติพันธุ์ตาม “ราก” ของภาษาที่กลุ่มนั้นๆ ใช้

โดยแบ่งเป็น กลุ่มตระกูลภาษาไท-กะได, กลุ่มตระกูลภาษาออสโตรเอเชียติก, กลุ่มตระกูลภาษาจีน-ทิเบต, กลุ่มภาษาออสโตรเนเชียน และ กลุ่มตระกูลภาษาม้ง-เมี่ยน

แต่กล่าวโดยสรุป คำ 3 คำที่ก่อปัญหาคือคำว่า “ชาติ” / “รัฐ” และ “ประเทศ” นั้น สามารถสรุปเนื้อหาเพื่อความเข้าใจที่ตรงกันได้อย่างสั้นๆ ดังนี้

ชาติ (Nation) หมายถึง ประชาชนหรือกลุ่มคนที่มีเผ่าพันธุ์ วัฒนธรรม ประเพณี และภาษาที่เหมือน หรือคล้ายคลึงกัน

รัฐ (State) หมายถึง พื้นที่ที่ประชาชน (คนทั้งหมด) อยู่ภายใต้ระบบการปกครองและอธิปไตยเดียวกัน

ประเทศ (Country) หมายถึง พื้นที่ที่เป็นที่ตั้งของ “รัฐ” ซึ่งมีพื้นที่และเขตแดนที่แน่นอน ภายในประเทศอาจประกอบด้วยคนชาติ (พันธุ์) เดียวกันหรือหลากหลายชาติ (พันธุ์) ก็ได้ แต่ยอมรับ “ระบอบการปกครอง” เดียวกัน

คำ “ประเทศ” จึงน่าจะเป็นคำรวมของคำว่า “ชาติ” กับคำว่า “รัฐ” เข้าด้วยกัน จนเกิดเป็นคำใหม่ คือคำว่า “รัฐชาติ” (National State)

แต่คำที่น่าจะสำคัญที่สุดซึ่งควรทำความเข้าใจและ “ตีความ” เพื่อเข้าใจในประเด็นความเป็น “ชาติ” และ “ความรักชาติ” (Patriotism) ในยุค “รัฐชาติสมัยใหม่” เพราะอาจถือได้ว่าเป็นคำที่ทุก “รัฐชาติ” (Nation State) ยังต้องใช้กันอยู่

นั่นคือคำว่า “สัญชาติ” หรือที่ภาษาอังกฤษใช้ว่า “Nationality” นั่นเอง

เกี่ยวกับคำ “สัญชาติ” นี้ รัฐอธิปไตยหรือ “ประเทศ” ต่างๆ ใช้ในความหมายที่ว่า “เป็นคนของชาตินั้นๆ” แหล่งที่เห็นชัดคือ คำนี้จะปรากฏอยู่ใน “หนังสือเดินทาง (Passport)” ของทุกประเทศ

ที่ยกคำ “สัญชาติ” ขึ้นมาอธิบายอย่างให้ความสำคัญร่วมด้วยกับคำอื่น ก็เพราะดูเหมือนคำนี้จะเป็นคำสำคัญของคนในรัฐชาติสมัยใหม่ทุกคน เพราะทุกคนต้องมี “สัญชาติ” (หมายถึงคนที่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเกิดบนแผ่นดินของ “รัฐ” นั้นๆ)

ไม่ว่าเขาจะยอมรับไม่ยอมรับ, ภาคภูมิ-ไม่ภาคภูมิ ต่อสัญชาติของเขาหรือไม่ก็ตาม!

ในบทความเรื่อง “ชาติคงมีอยู่ และความรักชาติ ในทัศนะของ ปรีดี พนมยงค์”-“รัฐบุรุษอาวุโส, หัวหน้าคณะอภิวัฒน์ 2475 ฝ่ายพลเรือน, หัวหน้าขบวนเสรีไทย และอดีตนายกรัฐมนตรี (ฉบับตีพิมพ์ในประเทศไทย พ.ศ. 2518) ได้แสดงทัศนะและความคิดเห็นเรื่อง “ชาติ” และ “ความรักชาติ” ไว้อย่างละเอียดกว้างขวาง น่าสนใจยิ่ง

ควรที่ผู้สนใจในเรื่องนี้จะได้ไปหาอ่านกัน

จะขอยกทัศนะเฉพาะประเด็น “ความรักชาติ” (Patriotism) บางตอนของท่าน มาฝาก “คนรักชาติ” รุ่นนี้ไว้สักหน่อยก็แล้วกัน

ท่านว่าไว้ดังนี้

“…สำหรับผู้ที่มีจิตสำนึกว่า “ชาติ” ของตนยังคงมีอยู่นั้น ก็มี “ความรักชาติ” คือ รัก “กายทางสังคม” (Social Organism) ซึ่งทุกๆ คนที่มี “สัญชาติ” คือเป็น “ชนแห่งชาติ” นั้นร่วมกันประกอบขึ้น แต่ความรักชาติของบุคคลต่างๆ ดังกล่าวนี้มีระดับแตกต่างระหว่างกันตามระดับของ “ความเห็นแก่ตัว” (Egoism) และ “ความเห็นแก่ผู้อื่นเป็นส่วนรวม” (Altruism) ของแต่ละบุคคล…”

“…ความเห็นแก่ตัว (Egoism) หมายถึงการเอาประโยชน์ส่วนตัวเป็นใหญ่กว่าส่วนรวม การเอาประโยชน์ของชนชั้นตนเป็นใหญ่กว่าส่วนรวม การเอาประโยชน์ของเชื้อชาติ (Race) ของตนเป็นใหญ่กว่าส่วนรวม… ความเห็นแก่ตัวมิได้อยู่แต่เฉพาะในทางวัตถุสิ่งของเท่านั้น หากการทนงตนเองว่ายิ่งใหญ่หรือวิเศษกว่าคนอื่นซึ่งเรียกว่า “วีรบุรุษส่วนบุคคล” (Individual Heroism) ก็เข้าลักษณะความเห็นแก่ตัว

บุคคลใดมีความเห็นแก่ตัวมากเพียงใด ความรักชาติก็ลดน้อยลงเพียงนั้น จึงนำไปสู่ทัศนะคติที่ถือว่า ชาติเป็นของตนและครอบครัวโดยเฉพาะ และเป็นของชนชั้นตนโดยเฉพาะ !!!”

ข่าวแนะนำ