บทความ บทวิเคราะห์

คึกฤทธิ์ชีวิตไทย (52)

แชร์ข่าว

ทวี สุรฤทธิกุล

“คนไทยในอนาคตจะเป็นอย่างไร?” บางทีก็ไม่มีอะไรแตกต่างกับปัจจุบัน ขึ้นอยู่กับว่าแต่ละคนจะคาดหวังอะไร

ท่านอาจารย์ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช บอกว่าท่านโชคดีที่เกิดมาเป็นคนไทย และเป็นคนไทยที่นับถือศาสนาพุทธ ข้อดีของการเป็นพุทธศาสนิกชนก็คือ เราเชื่อในเรื่อง “บุญ-กรรม” อันเป็นหลักเหตุผลที่ถูกต้องและช่วยแก้ไขปัญหาชีวิตได้เสมอ อยากได้ดีมีความสุขก็ต้องทำดีและทำตัวให้มีความสุข ตรงกันข้ามถ้าไปทำชั่วทำบาปเข้า ก็จะมีแต่ความทุกข์หรือไม่สบายกายและใจ

เพราะหัวใจของศาสนาพุทธนั้นมีหลักอยู่แค่ 3 ประการ ดังที่พระพุทธเจ้าทรงเทศนาต่อที่ชุมนุมสงฆ์ ซึ่งทั้งหมดเป็นพระอรหันต์จำนวน 1,250 รูป ที่มาประชุมพร้อมกันในวันมาฆบูชาครั้งแรกนั้นว่า:

“สพฺพปาปสฺส อกรณํ – การไม่ทำบาปทั้งปวง กุสลสฺสูปสมฺปทา – การทำกุศลให้ถึงพร้อม สจิตฺตปริโยทปนํ – การทำจิตของตนให้บริสุทธิ์ผ่องใส เอตํ พุทฺธานสาสนํ – นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย”

ที่เรียกว่า “โอวาทปาฏิโมกข์”

ยิ่งไปกว่านั้น ศาสนาพุทธยังมีจิตวิทยาในการคลายทุกข์อย่างหนึ่งก็คือ ให้ทุกคนมีความหวังในอนาคต ซึ่งก็อยู่ที่การกระทำ “ดี-ชั่ว” นั้นเช่นกัน หลักนี้ชาวพุทธรู้จักกันดีคือหลัก “ชาตินี้-ชาติหน้า” แต่ในทางพุทธศาสนาเรียกว่า “การบำเพ็ญบารมี” มีหลักคิดง่ายๆ ว่า ถ้าชาติหน้าหรือ “ชีวิตใหม่” อยากเป็นอะไรก็ให้สร้างบารมีหรือ “สิ่งดีๆ” เข้าไว้ แม้แต่ตัวพระพุทธเจ้าเองก็ต้องสร้างบารมีมาถึง 500 ชาติ โดยชาติสุดท้ายก่อนที่จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าก็คือ “พระเวสสันดร”

ดังนั้น ชาวพุทธก็ต้องตั้งใจทำดีให้มากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อชาติหน้าหรือชีวิตใหม่จะได้ดีขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งชาวพุทธแบบชาวบ้านทั่วไปก็มักจะนึกถึงการทำบุญให้มากๆ เพื่อจะได้บุญหรือ “สร้างบารมี” ให้มากๆ นั่นเอง ซึ่งท่านอาจารย์คึกฤทธิ์บอกว่าเป็นความคิดที่ไม่ถูกต้องนัก เพราะบารมีจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเป็นการทำความดีเพื่อผู้อื่น ไม่ใช่เพื่อตัวเราเอง จึงจะเรียกว่า “ผู้มีบารมี” หรือ “ผู้มีบุญ” อย่างแท้จริง

มีคนเคยถามว่า ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์เชื่อในเรื่องไสยศาสตร์บ้างหรือไม่ ท่านตอบว่าท่านก็เป็นคนไทยคนหนึ่ง คนไทยนี่แหละคือ “ตัวไสยศาสตร์” ผู้ถามจึงถามต่อว่าศาสนาพุทธสอนให้เชื่ออย่างนั้นหรือ ท่านตอบว่าศาสนาพุทธไม่ได้สอน แต่คนไทยเป็นคนใจกว้าง บางเรื่องบางทีศาสนาพุทธก็อธิบายหรือให้คำตอบไม่ได้ คนไทยก็ขวนขวายหาอะไรมาอธิบายตอบเอง จะบอกว่าคนไทยฉลาดก็ได้ แต่บางส่วนของไสยศาสตร์นั้นก็มีลัทธิอื่น ศาสนาอื่นนำเข้ามา แล้วคนไทยก็เปิดใจรับเอามาง่ายๆ เพราะเชื่ออย่างนั้นแล้วสบายดี หายทุกข์

ชีวิตคนไทยเป็นเช่นนี้เอง ง่ายๆ ไม่รับทุกข์ ชอบความสุข คนไทยจึงมีชีวิตที่สนุกสนาน ฝรั่งมาเห็นก็ทึ่ง ไม่เข้าใจคำพูดติดปากของคนไทยที่ว่า “ไม่เป็นไร” คนไทยจะทุกข์หรือสุขก็ยิ้มเสมอ ฝรั่งเลยเรียกประเทศไทยว่า “Land of Smiles” ตอนหลังฝรั่งจึงเข้าใจว่า เพราะคนไทยมีความหวังว่าชีวิตต้องดีขึ้นนี่เอง ที่ทำให้คนไทยยิ้มได้ตลอดเวลา แม้ในเวลาที่มีความทุกข์คนไทยก็ยังยิ้มข่มกลั้นไว้ได้

มีนวนิยายเรื่องหนึ่งที่อาจจะเป็นเรื่องท้ายๆ ในชีวิตของท่าน คือเรื่อง “กาเหว่าที่บางเพลง” เขียนขึ้นในปี พ.ศ. 2531 ตอนที่ท่านอายุเกือบ 80 ปีแล้ว เรื่องนี้มีบางส่วนที่สะท้อนชีวิตไทย “ในอนาคต”

เช้าวันหนึ่งพอทานอาหารเช้าเสร็จ โดยมีลูกศิษย์ 2-3 คน (รวมถึงผู้เขียนด้วย) ร่วมรับประทาน ท่านก็เปรยขึ้นมาว่า “พวกเอ็งเป็นลูกเต้าเหล่าใครก็ไม่รู้ แต่ก็ต้องมาเป็นภาระให้ฉันรับเลี้ยงดู นี่หลายคนพอปีกกล้าขาแข็งแล้วก็บินปร๋อจากไป บางคนก็เลี้ยงเท่าไรก็ยังไม่โต ยังไปไหนไม่รอด ฉันคงจะต้องเลี้ยงดูไปจนตายกระมัง” แล้วหยุดไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อว่า “อ้อ เอ็งมันพวกลูกกาเหว่า ไข่ไว้ให้แม่กาฟัก แม่กาก็หลงรัก นึกว่าลูกในอุทร” แล้วท่านก็หัวเราะเบาๆ ตามมาด้วยคำพูดว่า “ฉันอยากจะเขียนนิยายสักเรื่อง เล่าเรื่องคนไทยอย่างพวกเอ็ง ที่มาจากดาวดวงอื่น แล้วก็ให้ชาวบ้านเขาเลี้ยง ชาวบ้านก็หลงรัก ทีนี้ก็ยุ่งกันใหญ่ คงสนุกกันไปเลย”

แล้วนวนิยายเรื่อง “กาเหว่าที่บางเพลง” ก็เกิดขึ้น ท่านเขียนลงในสยามรัฐทุกวัน ใช้เวลาหลายเดือนจึงจบลง แล้วมีการจัดพิมพ์เป็นเล่มพ็อกเก็ตบุ๊ก ปรากฏว่าเป็นที่ฮือฮามาก มีคนมาขอไปสร้างเป็นทั้งภาพยนตร์และละคร นัยว่าถูกใจคนรุ่นใหม่ เพราะเขียนถึงเด็กที่เป็นมนุษย์ต่างดาว เด็กพวกนี้ถูกนำมาโดยยานอวกาศจากโลกไหนก็ไม่รู้ มาเข้าท้องผู้หญิงที่บางเพลงพร้อมกันถึง 214 คนในวันเดียวกัน พอต่อมาอีก 9 เดือนก็คลอดออกมาพร้อมกัน

ทีแรกก็ทำเอาคนทั้งหมู่บ้านวุ่นวายอลหม่าน เพราะบางคนไม่ได้แต่งงาน บางคนพ้นวัยที่จะท้องได้ไปแล้ว และบางคนเป็นแม่ชี! แต่พอคลอดมาแล้ว คนที่เป็นแม่ก็รัก ญาติพี่น้องและสามีก็รัก แต่พอโตขึ้นเด็กพวกนี้กลับมีพฤติกรรมแปลกๆ เช่น กินเนื้อสัตว์ดิบๆ รวมถึงมีคนต้องตายแบบแปลกๆ เพราะพยายามไปค้นหาความจริงเกี่ยวกับเด็กเหล่านี้ เรื่องดำเนินไปอย่างตื่นเต้น จนเกือบจะกลายเป็นปัญหาระดับสังคมภายนอกหมู่บ้าน แล้วเรื่องก็จบลงแบบ “สุขสงบ” (คือไม่ใช่ “Happy Ending” ที่สุขสดชื่น แต่จบไปแบบเงียบๆ ช่วยให้เกิดความโล่งใจ) ฝากข้อคิดให้กับคนที่ยังอยู่ในโลกนี้รู้ว่า อะไรๆ ก็อาจจะเกิดขึ้นกับโลกนี้ได้เสมอ

ในเรื่องกาเหว่าที่บางเพลงนี้เอง ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ได้ฝากข้อคิดสำคัญให้กับผู้อ่าน (ซึ่งความจริงท่านคงไม่ได้ตั้งใจจะฝาก เพราะท่านมักจะบอกเสมอว่า เรื่องที่ท่านเขียนไม่ได้หวังจะให้ข้อคิดอะไรกับใคร แต่ถ้าใครจะคิดได้ ก็ขึ้นอยู่กับคนๆ นั้น) อย่างที่ผู้เขียนคิดก็คือ ชีวิตทุกชีวิตต้องต่อสู้และปรับตัวไปตามสภาพแวดล้อม ดังเช่นที่เด็กจากต่างดาวพยายามปรับตัวตามสภาพแวดล้อมที่เจอในโลก เพราะโลกที่เด็กพวกนี้จากมาเป็นโลกที่ไม่มีวันตาย ชีวิตทุกชีวิตเป็นอมตะ แต่พอมาเจอสภาพที่มนุษย์บนโลกนี้ต้องมีเกิด แก่ เจ็บ ตาย พวกเขาก็ไม่เข้าใจ นึกว่าการฆ่าคนนั้นเป็นเรื่อง “ปกติ” หรือเป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งเหมือนในโลกเดิม ดีที่ว่าเด็กพวกนี้สามารถสื่อสารกับโลกเดิมได้ในที่สุด และส่งสัญญาณขอให้ยานจากโลกเดิมมารับ เพราะท้ายที่สุดแล้วเด็กพวกนี้ก็ไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่บนโลกนี้ได้

ข้อคิดเรื่อง “โลกเรา-โลกเขา” นี้เป็นเรื่องใหญ่มาก ไม่ว่าท่านอาจารย์คึกฤทธิ์จะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม แต่ข้อคิดนี้ต่างจากความเชื่อที่คนไทยเชื่อมานับพันปี นั่นคือเรื่อง “โลกนี้-โลกหน้า” เมื่อท่านอาจารย์คึกฤทธิ์มาสร้างความแตกต่างที่ไม่ได้ต่างแค่เพียงความเป็นอยู่ แต่ยังต่างกันด้วยความเชื่อและความสัมพันธ์ ก็ยิ่งทำให้เราต้องคิดว่า คงยังมีอะไรอีกมากที่เรายังไม่รู้ และนั่นแหละคือสิ่งที่น่ากลัวที่สุด ซึ่งสิ่งนี้พระพุทธเจ้าเรียกว่า “อวิชชา” ที่ท่านทรงบำเพ็ญบารมี สร้างความรู้หรือแสวงหา “ปัญญา” มาตลอดชีวิต ย้อนไปถึง 500 ชาติดังกล่าว ก็เพื่อให้หลุดพ้นจาก “อวิชชา – ความไม่รู้” นี่เอง

ดังนี้ ถ้าจะถามว่า “ชีวิตคืออะไร?” หากเรายึดตามแนวทางของพระพุทธเจ้า ก็คือ “การสร้างปัญญา-แสวงหาความรู้” อันเป็นสิ่งที่ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ได้พยายามเจริญตามรอยพระพุทธองค์ แม้ท่านจะไม่ได้บรรลุนิพพานเหมือนพระพุทธเจ้า แต่ท่านก็มีความสุขที่ได้รู้ในสิ่งที่ท่านอยากรู้ หรือแม้แต่ในสิ่งที่อยากรู้แต่รู้ไม่ได้หรือยังไม่เข้าใจทั้งหมด ท่านก็มีความสุขอย่างเพียงพอแล้ว

นี่แหละคือ “คนไทย-ชีวิตไทย” ที่ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ได้ดำเนินไปตลอดลมหายใจของท่าน...

 

แชร์ข่าว