ทวี สุรฤทธิกุล
“เลือกตั้งใช้เงินมาก นายกฯยังชื่ออนุทิน รัฐบาลจะจูบปากเขมร เศรษฐกิจยังลากถูต่อไป”
ถ้ามองประเทศไทยในสายตาของคนโลกสวยอย่างผู้เขียน ก็ยังมีความหวังว่าประเทศไทยยังน่าจะไปได้ดีในหลาย ๆ ด้าน แม้จะมีปัญหาที่หนักหนาร้ายแรง คนไทยก็จะพากันเอาตัวให้รอดได้เสมอ แต่จะดียิ่งขึ้นเพียงใดก็ยากจะพยากรณ์ แต่คงจะไม่เลวร้ายไปกว่าหลาย ๆ ปีที่ผ่านมา
ผู้เขียนขออ้างถึงท่านอาจารย์ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ในสมัยที่ผู้เขียนยังทำงานอยู่กับท่านที่บ้านสวนพลู พอถึงใกล้จะสิ้นปีเก่าก็จะมีสื่อมวลชนขอสัมภาษณ์ท่านถึง “ปีใหม่จะมีอะไรใหม่ ?” อยู่เป็นประจำ ซึ่งคำตอบก็จะเหมือนกันทุกปี แต่จะว่าคือคำตอบก็ไม่ตรงนัก น่าจะเป็นคำอวยพรมากกว่า เพราะท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ก็จะพูดให้คนไทยโชคดีมีความสุข ผ่านทุกข์ภัยปัญหาต่าง ๆ ไปด้วยดี พร้อมกับให้ “คาถา” หรือข้อแนะนำเพื่อความอยู่ดีมีสุขในปีใหม่นั้นว่า “จงอยู่ด้วยความหวัง คือหวังดีในกันและกัน”
เรามามองย้อนหลังถึงการเมืองไทยในปี 2568 ที่ผ่านมา ที่เป็นเรื่องใหญ่ที่สุดก็คือ เรื่องที่นายทักษิณ ชินวัตร ถูกยื่นคำร้องว่า “ป่วยทิพย์” ทำให้ต้องกลับไปรับโทษอยู่ในเรือนจำอยู่ในปัจจุบัน ส่งผลถึงลูกสาวคือนางสาวแพทองธาร ที่โดนร้องเรียนเรื่องผิดจริยธรรมทางการเมืองอย่างร้ายแรง ด้วยกรณี “คลิปสนทนาลุงกับหลาน” ที่ฮุนเซนเผยแพร่ออกมา ทำให้ต้องเปลี่ยนรัฐบาลใหม่มามีนายกรัฐมนตรีชื่อนายอนุทิน ชาญวีระกูล ซึ่งก็ต้องตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย ด้วยการทำ MOA (ที่บางคนอ่านออกเสียงว่า “เมา” หรือ “มั่ว”) ที่สุดก็ต้องมายุบสภาให้มีเลือกตั้งใหม่ดังกล่าว
นอกจากนี้ในช่วงเวลาตั้งแต่ปลายเดือนสิงหาคมเป็นต้นมา ก็เกิดอุทกภัยเริ่มจากทางภาคเหนือ ลงมาที่ภาคกลาง จนก็ลงมาที่กรุงเทพมหานคร ล่าสุดก็ที่ภาคใต้ ซึ่งได้สร้างความเสียหายแก่ชีวิตผู้คน สังคม และเศรษฐกิจอย่างมากมาย ขณะเดียวกันเราก็มีปัญหาสู้รบกับกัมพูชาตามจังหวัดชายแดน ซึ่งนักการเมืองก็พยายามใช้ประเด็นเหล่านี้สร้างความนิยมให้กับตัวเอง พร้อมกับที่สร้างกระแสทำลายฝ่ายตรงข้ามไปด้วย รวมถึงในระดับโลกเราก็ยังต้องสู้กับนโยบายคุกคามด้วยภาษีของโดนัลด์ ทรัมป์ ที่สหรัฐอเมริกาใช้รุกรานไปทั่วโลก ในขณะที่สงครามรัสเซียกับยูเครนก็ยังไม่สงบ ทำให้ระบบเศรษฐกิจของโลกก็มีปัญหาหนักมากเช่นกัน
มามองที่การเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในประเทศไทย ในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ปีหน้า หลายคนเชื่อว่าพรรคภูมิใจไทยของนายอนุทินคงจะได้รับเลือกตั้งเข้ามามากที่สุด และได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งในความคิดของผู้เขียนก็มีความเชื่อเช่นนั้น ซึ่งก็มีความเชื่อเพิ่มเติมว่า แม้ว่าจะได้เสียงมามาก แต่นายอนุทินก็ต้องการอยู่ในตำแหน่งในรัฐบาลใหม่ให้มั่นคง คงจะต้องพยายามหาพรรคมาร่วมจัดตั้งรัฐบาลให้ได้มากที่สุด ซึ่งก็คงจะมีพรรคที่อยากจะมาร่วมกับรัฐบาลใหม่นี้อยู่หลายพรรค เพียงแต่พรรคเหล่านั้นน่าจะมีข้อต่อรองมากขึ้น เรียกร้องเอาตำแหน่งในกระทรวงต่าง ๆ อย่างวุ่นวาย แต่ที่สุดพรรคภูมิใจไทยก็จะ “ทุบโต๊ะ” แล้วพรรคต่าง ๆ ก็ต้องยอม การจัดตั้งรัฐบาลอาจจะยุ่งยากยืดเยื้อ แต่ก็ต้อง “สมยอม” ในที่สุด เพื่อให้ “สมประโยชน์” ที่จะได้ใช้อำนาจในการเป็นรัฐบาลให้แก่ตนและพรรคพวกต่อไป
นโยบายในการหาเสียงเลือกตั้งของพรรคการเมืองต่าง ๆ คงไม่เปลี่ยนแนวไปมาก หลัก ๆ คือชูนโยบายประชานิยม ที่ยังออกมาในแนวสร้าง “ความหวังลม ๆ แล้ง ๆ” ให้กับคนไทยต่อไป นโยบายอีกแนวหนึ่งที่น่าจะเป็น “แนวนิยม” ในยุคโซเชี่ยลมีเดีย ก็คือ “การด้อยค่า” คู่ต่อสู้ เช่นที่มีบางพรรคสร้างกระแสออกมาแล้วว่า “มีเราไม่มีเทา” หรืออีกฟากฝ่ายหนึ่งก็บอกว่า “ไม่เอาพวกล้มล้างสถาบัน” เป็นต้น นอกจากนี้ยังเห็นในโซเชี่ยลของบางกลุ่มบอกว่า “ไม่เลือกพรรคหลานขายชาติให้ลุง” และอีกกลุ่มหนึ่งก็บอกว่า “อย่าเลือกกลุ่มทุนสแกมเมอร์” นี่ก็เป็นการเริ่มต้นที่เราจะเห็นใน “สงครามกระแส” ที่จะเกิดขึ้นในโลกของการสื่อสารสมัยใหม่
การเลือกตั้งจะมีการใช้เงินมหาศาลเช่นเคย และยิ่งมีข่าวว่าคณะกรรมการการเลือกตั้งและเจ้าหน้าที่บางคนถูก “ครอบงำ” อยู่ภายใต้อิทธิพลของนักการเมืองบางคนบางกลุ่ม ก็ยิ่งทำให้เชื่อกันไปว่าจะมีการ “เอาหูไปนา เอาตาไปไร่” ปล่อยปละละเลยให้มีการทุจริตในการเลือกตั้งอยู่ดังเดิม อย่างไรก็ตามกูรูด้านเทคโนโลยีดิจิตอลบางคนเสนอว่า ด้วยเทคโนโลยีด้านธุรกรรมการเงินในปัจจุบัน ทั้งที่ผ่านแอปธนาคารต่าง ๆ และแอป “เป๋าตังค์” ของรัฐบาล ถ้าวางระบบให้ดี ก็จะสามารถตรวจดูเงินผ่านเข้าออกได้ว่ามาจากใคร อย่างที่ในโครงการคนละครึ่งพลัสที่รัฐบาลรักษาการชุดนี้ได้ทำไปก่อนจะยุบสภา ก็ยังสามารถตรวจสอบได้ว่า ใครซื้อขายกันจริง หรือคดโกงบิดเบี้ยวกันอย่างไร รวมถึงธนาคารทั้งหลายก็สามารถตรวจสอบเรื่องบัญชีม้าได้ไม่ยาก ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับ กกต. ว่าจะ “พัฒนา” ตามทันเทคโนโลยีเหล่านั้นได้หรือไม่ หรือยังจะยอมอยู่ใน “กะลา” เอ๊ย “โลกเก่า” ล้าหลังอยู่กับเทคโนโลยีเดิม ๆ อย่างนี้ไปอีกนาน (ทราบว่าเมื่อมีคนร้องเรื่องการโอนเงินที่ผิดปกติในการเลือกตั้ง กกต.ท่านก็จะต้องให้ไปหาพยานมาสอบปากคำซึ่งก็หายาก แล้วก็ไปนั่งค้นสลิปการฝากเงินถอนเงิน เหมือนไปแย่งงานเสมียนธนาคารนั้นมาทำ) แน่นอนว่า อาจจะมีรายการที่ กกต. “เชือดไก่ให้ลิงดู” เอาคนซื้อเสียงมาลงโทษบ้าง แต่ก็คงเป็น 1 ในล้านที่ กกต.จะ “กล้าทำ” (เป็นสำนวนนะครับ ไม่เกี่ยวกับพรรคการเมืองใด ๆ) ซึ่งก็ไม่ทำให้มีใครเกรงกลัว และคงจะยังซื้อเสียงกันอย่างโจ๋งครึ่มต่อไป
อย่าว่าแต่ กกต.เลยที่ “กูกลัวตาย” ข้าราชการรวมถึงตำรวจด้วยนี่แหละที่ “ก็กลัวตาย” เหมือนกัน อย่างที่ผู้เขียนได้เห็นกับตาเมื่อปี 2525 ที่พรรคกิจสังคมหาเสียงสู้กับพรรคชาติประชาธิปไตย ในการเลือกตั้งซ่อมในจังหวัดร้อยเอ็ดในปีนั้น ที่มีการซื้อเสียงกันอย่างมโหฬาร จนเรียกปรากฏการณ์นั้นว่า “โรคร้อยเอ็ด” ซึ่งส.ส.ของพรรคกิจสังคมที่ไปช่วยหาเสียงได้ขึ้นไปที่โรงพักเพื่อส่งหลักฐานเป็นรูปถ่ายของดาราที่มาช่วยพรรคชาติประชิปไตยหาเสียง โดยดาราเหล่านั้นในมือมีซองใส่เงินไปแจกชาวบ้านด้วย แต่ตำรวจบนโรงพักบอกว่ามองไม่เห็นเงินในซอง แต่ก็จะรับแจ้งความไว้แล้วจะ “จัดการ” ให้ ซึ่งพอเลือกตั้งเสร็จเรื่องก็เงียบหายไป ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ยังให้สัมภาษณ์ว่า ในซองที่ดาราไปแจกชาวบ้านนั้นคงเป็น “ซองผ้าป่า” (ฮา) ที่เล่ามานี้ก็เพื่อจะบอกว่า ทุกวันนี้คนที่รับผิดชอบก็คงดำเนินชีวิตอยู่แบบนี้ เพื่อรักษาตัวรอดไปเรื่อย ๆ นั่นเอง
การเมืองปี 2569 ยังจะต้องพูดกันต่อไปในสัปดาห์หน้า โดยเฉพาะที่รัฐบาลจะมีหน้าตาอย่างไร และจะบริหารประเทศอย่างไร อย่างที่ได้โปรยหัวไว้ “รัฐบาลจะจูบปากกับเขมร” เพื่อเราจะได้ฉลองปีใหม่กันอย่างผะอืดผะอม (ฮา)







