การรวมพลังครั้งสำคัญของ เครือข่ายสหกรณ์ และ สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ ทั่วประเทศ ซึ่งเป็นตัวแทนของสมาชิกกว่า 11.86 ล้านคน และมีสินทรัพย์รวมกว่า 4.1 ล้านล้านบาท ได้นำเสนอข้อเสนอเชิงนโยบายแบบบูรณาการต่อรัฐบาล และ 3 กระทรวงหลัก ได้แก่ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.)กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ผ่านวงสัมมนา “ก้าวสู่ความยั่งยืน ด้วยหลักคิด WIN : WIN จาก 3 กระทรวงหลัก 5 องค์กรขับเคลื่อน และ 109 เครือข่ายสนับสนุน” โดยมีเป้าหมายเพื่อเดินหน้าแก้ไขกฎหมายและกฎระเบียบที่ล้าสมัย พร้อมเสริมสร้างความยั่งยืนของระบบ และเร่งคลี่คลายวิกฤตหนี้สินครู ภายใต้หลักคิด "WIN : WIN" ที่ทุกฝ่าย ทั้งภาครัฐ สหกรณ์ และสมาชิก ได้รับประโยชน์ร่วมกันอย่างมั่นคง
ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ชี้ให้เห็นว่าปัญหาสำคัญที่ขัดขวางการดำเนินงานของสหกรณ์และสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์คือ "กับดักกฎระเบียบ (Regulatory Trap)" อันเกิดจากกฎกระทรวง ระเบียบ คำแนะนำนายทะเบียน และกฎหมายที่ไม่สอดคล้องกับสภาพการดำเนินงานจริง จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเร่งทบทวนและแก้ไข เพื่อให้สถาบันเหล่านี้สามารถเดินหน้าตามวัตถุประสงค์และทำหน้าที่เป็น "ตาข่ายรองรับทางสังคม (Social Safety Net)" ได้อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเร่งแก้ไขปัญหาหนี้สินของข้าราชการครูที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของสมาชิกในวงกว้าง โดยรองนายกรัฐมนตรีได้ย้ำถึงความจำเป็นของการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานภาครัฐที่กำกับดูแล ทั้งกรมส่งเสริมสหกรณ์ (กระทรวงเกษตรฯ) และกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว (กระทรวง พม.) เพื่อให้การแก้ไขกฎหมายหลักและกฎหมายรองเสร็จสิ้นโดยเร็ว
ขณะที่การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงประจักษ์จากเครือข่ายสหกรณ์ชี้ให้เห็นว่า "สหกรณ์ไม่ใช่จำเลยของหนี้ครัวเรือน" เนื่องจากภาพรวมความมั่งคั่งสุทธิ (Net Positive Wealth) ของสมาชิกสหกรณ์นั้นยังเป็นบวก โดยมีเงินออมรวม 3.16 ล้านล้านบาท ซึ่งสูงกว่าหนี้สินรวม 2.72 ล้านล้านบาท ปัญหาที่เกิดขึ้นจริงจึงมาจากความไม่ยืดหยุ่นของกฎหมายที่บีบคั้นการบริหารจัดการของสหกรณ์และสร้างความเปราะบางให้กับสมาชิกบางกลุ่ม
ข้อเสนอเชิงนโยบายที่ถูกผลักดันอย่างเร่งด่วนโดย 5 องค์กรขับเคลื่อน ได้แก่ สันนิบาตสหกรณ์แห่งประเทศไทย (สสท.) ชุมนุมสหกรณ์ออมทรัพย์แห่งประเทศไทย (ชสอ.) สมาพันธ์สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์แห่งประเทศไทย (สฌท.) ชุมนุมสหกรณ์ออมทรัพย์ครูไทย (ชสอค.) และ ชุมนุมสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนแห่งประเทศไทย (ชสค.) จึงมุ่งเน้นไปที่การปลดล็อกอุปสรรคสำคัญ 3 ด้าน ดังนี้
ประการแรก: การปรับแก้กฎระเบียบด้านขอบเขตพื้นที่และการบริหารบุคลากร ได้แก่ การเรียกร้องให้ ชะลอการบังคับใช้ กฎกระทรวง พ.ศ. 2567 ที่จำกัดเขตพื้นที่ดำเนินงานของสหกรณ์การเกษตรและเครดิตยูเนี่ยนให้รับสมาชิกได้เฉพาะใน "อำเภอเดียวกัน" เนื่องจากมองว่าเป็นการจำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชนในการเลือกใช้บริการสหกรณ์ที่มีประสิทธิภาพ และข้อเสนอให้ ยกเลิก ระเบียบที่บังคับให้ผู้จัดการสหกรณ์พ้นจากตำแหน่งเมื่ออายุครบ 60 ปีบริบูรณ์ โดยเปลี่ยนเป็นเพียง "คำแนะนำ" เพื่อให้อิสระแก่สหกรณ์ในการบริหารจัดการบุคลากรตามความเหมาะสมกับขนาดและบริบทของตนเอง
ประการที่สอง: การขยายข้อจำกัดด้านการเงินและการลงทุนเพื่อลดความเสี่ยง เนื่องจากกฎกระทรวง พ.ศ. 2567 จำกัดวงเงินลงทุนในแต่ละนิติบุคคลเพียง 10% ของทุนเรือนหุ้นบวกทุนสำรอง ทำให้สหกรณ์เผชิญกับทางเลือกการลงทุนที่จำกัดและต้องกระจายความเสี่ยงไปยังสินทรัพย์ที่มีคุณภาพด้อยลง ข้อเสนอจึงรวมถึงการให้นับ "เงินรับฝากจากสมาชิก" เข้ามาเป็นฐานในการคำนวณวงเงินลงทุน, การขยายนิยามของ "รัฐวิสาหกิจ" เพื่อเพิ่มทางเลือกการลงทุนที่มั่นคง (เช่น ปตท.สผ., OR, ธนาคารกรุงไทย), และที่สำคัญคือการปรับการกำกับดูแลให้แบ่งขนาดสหกรณ์ออกเป็น 4 ระดับ (S, M, L, XL) เพื่อให้เกณฑ์การกำกับดูแลเหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่แท้จริง ไม่ใช่การใช้เกณฑ์เดียวบังคับใช้กับทุกขนาด (One Size Fits All)
ประการที่สาม: การแก้ไขวิกฤตหนี้สินครูอย่างเป็นระบบและยั่งยืน โดยมีการชี้ให้เห็นว่า ระเบียบการหักเงินเดือน 30% ตามกฎกระทรวงศึกษาธิการ ปี 2551 นั้น กลับเป็นปัญหาที่ผลักให้สมาชิกต้องไปกู้หนี้นอกระบบ ทางเครือข่ายจึงเสนอให้ ยกเว้น ระเบียบดังกล่าวสำหรับกลุ่ม ข้าราชการบำนาญ และเสนอแนวทางการปรับโครงสร้างหนี้สำหรับกลุ่มประจำการให้แล้วเสร็จภายใน 10 ปี นอกจากนี้ หัวใจสำคัญของการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างคือการผลักดันโครงการ กองทุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ 100,000 ล้านบาท โดยรัฐจัดหาแหล่งเงินกู้ดอกเบี้ย 0-2% เพื่อ Refinance หนี้ครู และเสนอให้ ชุมนุมสหกรณ์ออมทรัพย์ครูไทย (ชสอค.) ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการบริหารจัดการและกระจายเงินก้อนใหญ่นี้ไปยังสหกรณ์สมาชิกอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
ในส่วนของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ ได้เรียกร้องให้มีการแก้ไขประกาศกระทรวง พม. เพื่อ ปรับค่าจัดการศพ และ ค่าใช้จ่ายในการบริหาร ให้สอดคล้องกับต้นทุนปัจจุบัน รวมถึงการเร่งผลักดันพระราชบัญญัติฌาปนกิจสงเคราะห์ฉบับใหม่ ให้เป็นสากลและขอให้นายทะเบียนตีความให้สามารถ ฝากเงินกับสหกรณ์ได้เพื่อเพิ่มโอกาสในการบริหารเงินกองทุนให้งอกเงย
การรวมพลังและข้อเสนอครั้งนี้จึงเป็นก้าวสำคัญที่สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการสร้างความสามัคคีและส่งเสริมความยั่งยืนตามหลัก "WIN : WIN" เพื่อให้เครือข่ายสหกรณ์และสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์สามารถทำหน้าที่เป็นเสาหลักทางเศรษฐกิจและสังคมให้กับประชาชนฐานรากได้อย่างแท้จริง








