ความมืดยังคงปกคลุม "โอลด์แทรฟฟอร์ด" และคืนนี้มันหนักกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา นี่คืออีกหนึ่งเกมที่บ่งบอกชัดว่า "แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด" ยุคของ "รูเบน อาโมริม" ยังห่างไกลจากคำว่า "พร้อม" แบบสุดกู่ หลังพวกเขาพ่าย "เอฟเวอร์ตัน" ที่เหลือผู้เล่นเพียง 10 คนตั้งแต่นาทีที่ 13 แบบเจ็บลึก 0-1 เมื่อคืนวันจันทร์ที่ 24 พฤศจิกายน 2568 ที่ผ่านมา
ชัยชนะนี้ไม่เพียงเปิดประวัติศาสตร์ให้ "เดวิด มอยส์" ชนะในฐานะทีมเยือนที่โอลด์แทรฟฟอร์ดเป็นครั้งแรกหลังพยายามมา 17 ครั้ง แต่มันยังกลายเป็นบาดแผลใหม่ของ "แมนฯ ยูไนเต็ด" การพ่ายแพ้ในบ้านต่อทีมที่โดนใบแดงไปก่อน เกมที่ควรปิดบัญชีให้เด็ดขาดกลับกลายเป็นอีกหนึ่งความล้มเหลวที่ทิ้งสัญญาณอันตรายชัดเจนถึงทิศทางของยุคอาโมริม
เอฟเวอร์ตัน เริ่มเจอปัญหาใหญ่ตั้งแต่นาทีที่ 13 เมื่อ "อิดริสซา เกย์" ฟาดหน้า "ไมเคิล คีน" เพื่อนร่วมทีมตัวเองจนโดนไล่ออก ความผิดพลาดที่แทบไม่เคยเห็นในพรีเมียร์ลีกนับตั้งแต่ "ริคาร์โด ฟูลเลอร์" ในปี 2008 แต่มันกลับไม่ใช่จุดเปลี่ยนให้เจ้าบ้านอย่างที่ควรจะเป็นด้วยซ้ำ มันกลับทำให้ แมนฯ ยูไนเต็ด เปิดตัวตนที่แท้จริง "ทีมที่ครองบอลเยอะแต่ไร้ความหมาย"
ภายใต้ยุค อาโมริม ยูไนเต็ด เก็บได้เพียง 0.79 แต้มต่อเกม เมื่อครองบอลมากกว่า แย่จนไม่ควรเกิดขึ้นกับทีมลุ้นท็อปโฟร์ ขณะที่เกมนี้พวกเขาครองบอลสูงถึง 69.6% และพุ่งไปถึง 76.5% ในครึ่งหลัง แต่กลับทำอะไรแนวรับ 10 คนของเอฟเวอร์ตันแทบไม่ได้เลย นี่คือสถิติที่ไม่ได้โกหกใคร มันชี้ชัดว่า แมนฯ ยูไนเต็ด กำลังมีปัญหาหนักในเกมที่ต้องเป็นฝ่ายคุมจังหวะ
อาโมริม พูดชัดก่อนเกมกับฟอเรสต์ ว่า อยากให้ทีม "โจมตีรวดเร็ว" ไม่อยากให้ผู้เล่นจับบอลหลายจังหวะ แต่ต่อให้ไอเดียฟังดูดี มันก็ไม่มีค่าอะไรถ้าล้มเหลวทันทีเมื่อเจอคู่แข่งที่ตั้งรับลึก ความหลากหลาย? ไม่มี ความอดทน? หาไม่เจอ ความเข้มข้น? ต่ำจนไม่น่าเชื่อ ทุกสิ่งมันสะท้อนออกมาในเกมนี้อย่างน่าเจ็บปวด
การเปลี่ยนตัวของ อาโมริม ยิ่งเพิ่มความงุนงง โดย "เมสัน เมาท์" ลงมาช่วงพักครึ่งยังพอเข้าใจได้ แต่การส่ง "ดิโอโก ดาโลต์" แทน "แพทริค ดอร์กู" หรือการถอด "คาเซมิโร่" นักเตะที่อันตรายที่สุดในลูกกลางอากาศออกจากสนามก่อนจบครึ่งแรก เป็นสิ่งที่ยากจะอธิบาย ดาโลต์ ที่มักตัดเข้าในช้าเกินไป ทำให้เกมรุกฝั่งซ้ายแทบหยุดนิ่ง และการไม่มี คาเซมิโร่ ในท้ายเกม ยิ่งทำให้ยูไนเต็ดไร้อาวุธแบบสิ้นเชิง
อาโมริม ยอมรับตรง ๆ หลังเกมว่า “เราไม่เข้าใจวิธีเล่นเมื่อเจอกับผู้เล่น 10 คน” เขาชี้ไปถึงความเข้มข้นที่หายไป และการคุมจังหวะเปลี่ยนผ่านที่ล้มเหลวแบบสิ้นเชิง แม้จะมีจังหวะยิงหลายครั้ง แต่ xG (Expected Goals) ซึ่งเป็นสถิติในฟุตบอลที่ใช้วัดความน่าจะเป็นที่โอกาสการยิงแต่ละครั้งจะกลายเป็นประตู ของยูไนเต็ด อยู่ที่เพียง 0.066 ต่อครั้ง ตัวเลขที่สะท้อนชัดว่าพวกเขาแทบไม่มีคุณภาพในพื้นที่สุดท้ายเลย
ในอีกฝั่ง เอฟเวอร์ตัน แม้จะเหลือ 10 คน แต่มันกลับปลุก "ดีเอ็นเอมอยส์" ขึ้นมาอย่างเต็มที่ นั้นคือความ อดทน, แกร่ง, เล่นเพื่อเอาผลลัพธ์ ไม่สนสวยงาม ประตูชัยจาก "เคียร์แนน ดิวส์บิวรี-ฮอลล์" ในนาทีที่ 29 คือ การลงโทษที่เจ็บที่สุดสำหรับเจ้าบ้าน และมันก็สมควรเป็นแบบนั้น
แนวรุกของ "เอฟเวอร์ตัน" ทั้ง ดิวส์บิวรี-ฮอลล์, แจ็ค กรีลิช และอิลิมาน เอ็นเดียเย ทำงานหนักในเกมรับ ช่วยดึงจังหวะ เรียกฟาวล์ได้ถึงเจ็ดครั้งเพื่อตัดเกมรุกยูไนเต็ด ซึ่งเล่นเหมือนคนหมดไอเดีย ขณะที่ เธียร์โน แบร์รี ยักษ์ 6 ฟุต 5 นิ้ว โดดเด่นอย่างน่าเหลือเชื่อ ชนะการดวลกลางอากาศถึง 14 จาก 23 ครั้ง ตัวเลขที่สโมสรใหญ่ควรอับอายมากกว่าจะภาคภูมิใจ
มอยส์ กล่าวแบบไม่เกรงใจว่า “นักเตะของผมยอดเยี่ยมมาก การเล่นด้วย 10 คนและออกจากที่นี่พร้อมสามแต้มถือเป็นผลงานที่พวกเขาสมควรได้รับ” เสียงของเขาเต็มไปด้วยความภูมิใจ ตรงกันข้ามกับบรรยากาศมืดหม่นในฝั่งแมนฯ ยูไนเต็ด ที่เต็มไปด้วยคำถามซ้ำเดิมไม่รู้จบ
เอฟเวอร์ตัน กำลังเดินหน้าลุ้นชัยชนะในลีกเป็นนัดที่สามติดต่อกันเมื่อเปิดบ้านพบ นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด ขณะที่แมนฯ ยูไนเต็ด กำลังเผชิญความจริงอันโหดร้าย เมื่อพวกเขาต้องบุกเยือนคริสตัล พาเลซ ทีมอันดับ 5 ในเกมถัดไป และถ้ายังเล่นแบบนี้ แผลลึกในยุคอาโมริมอาจลุกลามจนยากจะเยียวยา
#แมนยูพบเอฟเวอร์ตัน #แมนยู #พรีเมียร์ลีก #เอฟเวอร์ตัน #อาโมริม #เดวิดมอยส์ #ข่าวกีฬา #ฟุตบอลอังกฤษ #วิเคราะห์บอล #ปีศาจแดง #EPL








