เกษตร

“คุณหญิงกัลยา” ดัน ‘นาเพียงโมเดล’ แก้แล้ง–หลาก–จน พลิกชีวิตเกษตรกรอีสาน พร้อมหนุนปลูกถั่วเหลืองเพิ่มรายได้

แชร์ข่าว

“คุณหญิงกัลยา” ดัน ‘นาเพียงโมเดล" จ.ขอนแก่น ต้นแบบบริหารจัดการน้ำโดยชุมชน’ แก้ปัญหาน้ำอีสานครบวงจร ใช้เทคโนโลยี Tem2Go เจาะสะดือดิน เก็บน้ำใต้ดินตลอดปี พร้อมหนุนปลูกถั่วเหลืองหลังนา เพิ่มรายได้เกษตรกร 5 เท่า มุ่งเป้า แก้แล้ง แก้หลาก แก้จน ขณะที่เกษตรกรตำบลนาเพียงปลื้ม! ช่วยมีน้ำใช้ตลลอดฤดูกาลผลิต

วันที่ 23 ธ.ค.68 คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช ประธานโครงการจัดการน้ำโดยชุมชนตามแนวพระราชดำริ เปิดเผยถึงการขับเคลื่อน "นาเพียงโมเดล" ในพื้นที่ตำบลนาเพียง อำเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น เพื่อยกระดับการบริหารจัดการน้ำนอกเขตชลประทานอย่างยั่งยืนว่า ปัจจุบันภาคอีสานเผชิญวิกฤตความย้อนแย้งด้านทรัพยากรน้ำ ปัจจุบันน้ำฝนที่ตกในแต่ละปีจะตกลงมาบนดินมากถึง 245,000 ล้านลูกบาศก์เมตร ทั่วประเทศ หากเปรียบเทียบ ภาคอีสานฝนก็ตกมาก เปรียบ 100 หยด อีสานเก็บได้เพียง 3.5 หยด อีสานไม่ได้แล้ง แต่กลับกักเก็บไว้ใช้ได้เพียง 3.5% เท่านั้น ส่งผลให้น้ำส่วนเกินกว่า 90% กลายเป็นน้ำหลากสร้างความเสียหายและตามมาด้วยสภาวะขาดแคลนน้ำในฤดูแล้ง

ปัจจุบันระบบชลประทานของรัฐครอบคลุมพื้นที่เพียง 20% ของประเทศ ที่เหลือเป็นพื้นที่นอกเขตชลประทาน 80% ที่ยังไม่มีความมั่นคงด้านน้ำ ที่ต้องเผชิญวัฏจักรน้ำท่วม-น้ำแล้งซ้ำซากโดยลำพัง การน้อมนำแนวพระราชดำริของรัชกาลที่ 9 มาปรับใช้ภายใต้หลักการ "หาที่ให้น้ำอยู่ หาที่ให้น้ำไหล และเก็บน้ำที่เหลือไว้ใต้ดิน" จึงเป็นทางออกที่จะช่วยเหลือเกษตรกรได้

หัวใจสำคัญในการสร้างความมั่นคงด้านน้ำ ตามโครงการจัดการน้ำโดยชุมชนตามแนวพระราชดำริ คือสร้างความยั่งยืน โดยมีต้นแบบความสำเร็จจาก "หมู่บ้านลิ่มทอง" จังหวัดบุรีรัมย์ ที่สามารถเพิ่มรายได้ให้ชาวบ้านถึง 5-8 เท่า ภายใน 5 ปี และได้รับการยอมรับในระดับสากลจากการประชุม G7 ณ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ว่าเป็นระบบจัดการน้ำโดยชุมชนที่ดีที่สุดในโลก ด้วยนวัตกรรมอย่าง "ถนนน้ำเดิน" ที่ช่วยบริหารจัดการน้ำเข้าสู่พื้นที่การเกษตรและป้องกันความเสียหายของเส้นทางคมนาคมไปพร้อมกัน

สำหรับ "นาเพียงโมเดล" ได้ต่อยอดความสำเร็จครอบคลุมพื้นที่กว่า 20,000 ไร่ ดูแลกว่า 2,300 ครัวเรือน ร่วมกับท่านปลัดเทศบาลตำบลนาเพียง นายวิรัญ วันเต็ม โดยนำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสมัยใหม่มาเป็นฐาน อาทิ "Tem2Go" เครื่องมือสำรวจโครงสร้างดินด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าและดาวเทียมที่ทันสมัยระดับโลก เพื่อระบุพิกัดในการ "เจาะสะดือดิน" ลงไปถึงชั้นหินอุ้มน้ำได้อย่างแม่นยำ ช่วยส่งน้ำไปเก็บไว้ใต้ดินและสร้างความชุ่มชื้นตลอดปี โดยมี นาย ธเนศ นะธิศรี เป็นผู้จัดการโครงการ เพื่อให้ระบบน้ำมีความเสถียร เกษตรกรจึงสามารถปลูก "ถั่วเหลืองพันธุ์เกษตร 80" เป็นพืชหลังนาที่มีความต้องการตลาดสูง สร้างกำไรเฉลี่ยถึง 5,000 บาทต่อไร่ต่อรอบ ใช้เวลาเพียง 100 วัน ที่ช่วยแก้ปัญหาความยากจนและหนี้สินได้อย่างเป็นรูปธรรม

"ถั่วเหลือง" เป็นพืชหลังนา ซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจที่ไทยต้องนำเข้าถึง 98% การปลูกถั่วเหลืองพันธุ์ดี (เช่น พันธุ์เกษตร 80) ใช้เวลาเพียง 90-110 วัน ใช้น้ำน้อย เหมาะสำหรับปลูกในช่วงฤดูแล้ง หรือปลูกทดแทนนาปรังที่ ต้องพึ่งพานํ้ามาก บำรุงดินเพิ่มในโตรเจน ถั่วเหลืองเป็นพืชตระกูลถั่ว มีปมรากที่ตรึงในโตรเจน ช่วยตัดวงจรศัตรูพืช ช่วยลดการระบาดของโรคและแมลงศัตรูพืชในระบบ การปลูกข้าว

ด้าน ผศ.ดร.ปริเวท วรรณโกวิท หัวหน้าศูนย์วิศวกรรมสารสนเทศภูมิศาสตร์และนวัตกรรม มจธ. กล่าวเสริมว่า เป้าหมายสำคัญอีกด้านคือการสร้าง "ชลกร" หรือผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการน้ำระดับชุมชนผ่านวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยี เพื่อปั้นเยาวชนลูกหลานเกษตรกรให้มีความรู้ทางวิทยาศาสตร์และตรรกะเชิง Coding ในการวิเคราะห์ข้อมูลน้ำและดิน หลักสูตรนี้เปิดโอกาสให้ทั้งนักศึกษาและเกษตรกรทั่วไป ในโครงการอาชีวศึกษาเพื่อการพัฒนาชนบท หรือ (อศ.กช.) เข้ามาเรียนรู้เทคโนโลยีเพื่อลดต้นทุนและวางแผนการผลิตอย่างเป็นระบบ

ปัจจุบันได้ผลิตชลกรออกสู่สังคมแล้วกว่า 3 รุ่น ซึ่งพบว่าสามารถนำองค์ความรู้ไปสร้างธุรกิจเกษตรที่เติบโตและยั่งยืนในท้องถิ่นของตนเองได้จริงทั้งนี้ ทิศทางในอนาคตของการเกษตรไทยต้องก้าวข้ามการรอคอยงบประมาณเยียวยา แต่ต้องมุ่งเน้นการวางแผนเชิงกระบวนการและการใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมกับวัฒนธรรมท้องถิ่น ขณะที่วิสัยทัศน์ "นาเพียงโมเดล" และหลักสูตร "ชลกร" จึงเป็นโมเดลต้นแบบที่มุ่งหวังให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายระดับประเทศ เพื่อให้เกษตรกรไทยสามารถบริหารจัดการทรัพยากรน้ำที่ได้มาฟรีจากธรรมชาติให้เกิดประโยชน์สูงสุด บรรลุเป้าหมาย "เลิกหลาก เลิกแล้ง เลิกจน" และสร้างความมั่งคั่งให้แก่ชุมชนอย่างแท้จริง

ขณะที่นายคณิต นพวานศรี เกษตรกรในพื้นที่ตำบลนาเพียง กล่าวว่า เดิมทีพื้นที่ตำบลนาเพียงซึ่งตั้งอยู่ปลายเขื่อนจุฬาภรณ์และอยู่นอกเขตชลประทาน มักประสบปัญหาการขาดแคลนน้ำอย่างหนักเนื่องจากน้ำจากเขื่อนไหลไปไม่ถึงพื้นที่ ขณะเดียวกันในช่วงฤดูฝนกลับต้องเผชิญกับปัญหาน้ำท่วมซ้ำซาก ปัญหาเหล่านี้ถือเป็นอุปสรรคสำคัญในการทำมาหากินของชาวบ้านมาอย่างยาวนาน จนกระทั่งได้เข้าร่วม "โครงการจัดการบริหารน้ำโดยชุมชน" ภายใต้แนวคิด "แก้แล้ง แก้หลาก แก้จน" ซึ่งเข้ามาเปลี่ยนระบบการจัดการน้ำในพื้นที่ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วยการทำระบบน้ำใต้ดิน

หัวใจสำคัญของโครงการนี้คือการจัดทำระบบเติมน้ำและสูบน้ำจากใต้ดินขึ้นมาใช้ประโยชน์ในช่วงฤดูแล้ง โดยเกษตรกรในพื้นที่ได้เริ่มทดลองสูบน้ำจากบ่อใต้ดินมาใช้ในนาเพื่อปลูกถั่วเหลือง ซึ่งแม้จะเป็นปีแรกของการดำเนินการ แต่ผลลัพธ์กลับสร้างความมั่นใจให้กับเกษตรกรอย่างมาก เพราะมีปริมาณน้ำเพียงพอต่อการใช้งานตลอดฤดูกาล ต่างจากในอดีตที่ต้องแย่งชิงน้ำและเร่งทำนาด้วยความกังวล โครงการนี้อาศัยการเสียสละพื้นที่เพียงเล็กน้อย เช่น 1 ไร่ หรือ 2 งาน เพื่อขุดบ่อเติมน้ำ ซึ่งนอกจากจะช่วยให้เจ้าของที่ดินมีน้ำใช้แล้ว น้ำที่เหลือยังกระจายประโยชน์ไปยังพื้นที่ข้างเคียง ช่วยให้เกษตรกรสามารถทำการเกษตรได้ตลอดทั้งปีโดยไม่ต้องกลัวขาดแคลนน้ำอีกต่อไป

ทั้งนี้ เกษตรกรในพื้นที่นาเพียง ส่วนใหญ่จะยึดการทำข้าวนาปีเป็นหลัก และหลังจากเก็บเกี่ยวแล้วจะเปลี่ยนมาปลูก ถั่วเหลือง (สายพันธุ์เชียงใหม่ 60) ต่อทันทีเพื่อเป็นการบำรุงดิน โดยเริ่มเพาะปลูกในช่วงวันที่ 10 ธันวาคม ถึง 15 มกราคม และเก็บเกี่ยวให้เสร็จสิ้นก่อนช่วงเทศกาลสงกรานต์ (ปลายเดือนมีนาคมถึงเมษายน) เพื่อหลีกเลี่ยงความเสียหายจากปัญหาน้ำหลากในช่วงต้นฤดูฝน ซึ่งถั่วเหลืองถือเป็นพืชที่ตอบโจทย์พื้นที่นี้อย่างมาก เนื่องจากเป็นพืชที่ต้องการน้ำแต่ไม่ชอบน้ำขัง และระบบการสูบน้ำใต้ดินช่วยให้ควบคุมปริมาณน้ำได้อย่างแม่นยำ ประกอบกับเป็นสายพันธุ์คุณภาพที่ตลาดและพ่อค้าคนกลางมีความต้องการสูง

ข่าวแนะนำ